Roojai

Apple CarPlay VS Android Auto แอพพลิเคชั่นเพื่อคนใช้รถ

Apple CarPLay VS Android Auto แอพพลิเคชั่นเพื่อคนใช้รถ การเข้าถึงที่แตกต่างแต่จุดหมายเดียวกัน

ข้อมูลจาก Thai EMS Info หรือศูนย์ข้อมูลข่าวสารด้านการแพทย์ฉุกเฉินไทย ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า

ความเสี่ยงในการเกิดุบัติเหตุรถยนต์จะเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 เท่า เมื่อ…

– คุยโทรศัพท์ขณะขับรถยนต์

– เล่นโซเชียลขณะขับรถยนต์

และจะเกิดความเสี่ยงมากกว่า 23 เท่า หาก…

– ส่งข้อความขณะขับรถ

– ท่องเว็บไซต์ขณะขับรถ

ถ้าอยากลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุจากสาเหตุดังกล่าว ควรใช้ระบบที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบสั่งงานด้วยเสียงหรือสั่งงานผ่านพวงมาลัยรถยนต์ เพื่อให้ผู้ขับมีสมาธิมากขึ้นในการขับขี่และโฟกัสไปที่ถนนไม่ใช่โทรศัพท์

 

 

หลายคนอาจคิดว่านั่นเป็นแค่เรื่องของอนาคต แต่ว่าในอุตสาหรรมรถยนต์ได้มีการพัฒนาเกี่ยวกับเรื่องระบบการเชื่อมต่ออุปกรณ์พกพาเข้ากับแผงคอนโซลหน้าของรถยนต์ หรือที่เรียกว่า Infotainment System มาสักระยะและมีการใช้จริงในรถยนต์บางยี่ห้อแล้วเช่นเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่น ระบบ SYNC จากค่าย Ford ที่มีการเปิดตัวรุ่นล่าสุดระบบซิงค์ 3 ไปเมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมาในงาน Consumer Electronic Show 2016 งานจัดแสดงสินค้าอิเล็กทรอนิกส์พร้อมเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลกและจัดมายาวนานแล้วกว่า 20 ปี

“ระบบซิงค์ ช่วยให้ลูกค้านำเอาเทคโนโลยีที่คุ้นเคยในโทรศัพท์มือถือมาเชื่อมต่อกับรถยนต์และใช้งานได้อย่างราบรื่น โดยระบบซิงค์ ทำให้เราเข้าใจจังหวะชีวิตของลูกค้า และช่วยให้พวกเขาสามารถเชื่อมต่อทุกการสื่อสารตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างสะดวกสบายทั้งในระหว่างการขับขี่และในเวลาที่ไม่ได้ใช้รถยนต์ ไม่ว่าลูกค้าจะใช้สมาร์ทโฟนรุ่นไหน หรือใช้แอพลิแคชั่นและการบริการใดๆ”

ดอน บัทเลอร์ ผู้อำนวยการบริหารด้านการเชื่อมต่อสื่อสารในรถยนต์และการบริการของฟอร์ด กล่าวถึงระบบที่ทางต้นสังกัดได้พัฒนาออกมา

โดยฟอร์ดได้ขยายระบบการเชื่อมต่อของซิงค์ ด้วยการเพิ่มแอพพลิแคชั่นชื่อดังที่อาจเคยได้ยินกันมาบ้างแล้วกับ 2 แอพพลิแคชั่น ดังต่อไปนี้

  1. Apple CarPlay

แอพพลิเคชั่นที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปเมื่อปี 2014 ในงาน Geneva Motor Show การใช้งานของ Apple CarPlay นั้นง่ายเพียงแค่เสียบสาย USB กับรถยนต์ หลังจากนั้นหน้าการใช้งานของแอพพลิเคชั่น CarPlay จะปรากฎขึ้นบนหน้าจอทัชสกรีนของรถยนต์ แล้วสั่งงานด้วยเสียงผ่านฟังก์ชั่น Siri หรือจะควบคุมด้วยการสัมผัสก็ได้เช่นเดียวกัน

 

 

ระบบการใช้งานที่รองรับหลักๆ คือ การโทร, ข้อความ และเพลง แต่ก็ยังรองรับฟังก์ชั่นอื่นๆ ผ่านแอพอีกมากมายที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในเรื่องกำหนดเส้นทางการเดินทางและทราบสภาพการจราจร

 

 

 

 

 

ที่น่าสนใจคือ ในรถบางรุ่น CarPlay จะผสานกับเมนูหลักของรถ เช่น การควบคุมเครื่องปรับอากาศในรถยนต์ หรือว่าดูข้อมูลอื่นๆ ของรถยนต์

Apple CarPLay รองรับผู้ใช้ไอโฟน 5 เป็นต้นไป

 

 

ที่มาภาพ

  1. Android Auto

แอพพลิเคชั่นที่ Google ได้เปิดตัวในช่วงปี 2014 เช่นเดียวกัน การใช้งานก็ง่ายไม่ต่างจาก Apple CarPlay เพียงแค่เสียบสาย USB กับรถยนต์ผู้ใช้ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานระบบการนำทาง Navigation จาก Google Maps นอกจากนี้ก็จะมีแอพ Google Play Music ที่ทาง Google เองได้ใช้เป็นค่าเริ่มต้นไว้ให้อยู่แล้ว

 

 

นอกจากนี้ยังมีแอพพลิเคชั่นอื่นๆ ร่วมด้วยอย่าง Pocket Casts, Beyond Pod, Spotify, iHeart Radio และ Google Voice Search ที่จะคอยช่วยตอบคำถามที่ผู้ขับขี่ต้องการทราบในขณะขับขี่บนถนนได้อีกด้วย

 


 


Android Auto รองรับผู้ใช้โทรศัพท์ในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เวอร์ชั่น 5.0 หรือเวอร์ชั่นสูงขึ้นไป

 

 

ที่มาภาพ

โดยในปี 2020 เทคโนโลยีดังกล่าวจะมีการใช้งานขยายไปทั่วโลก โดยอุตสาหกรรมรถยนต์จะพัฒนาระบบการเชื่อมต่อของซิงค์ผ่าน 4G LTE ยังช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสั่งงานระบบต่างๆ ของรถยนต์ได้แม้อยู่ในระยะไกลจากตัวรถยนต์ โดยเจ้าของรถยนต์สามารถสั่งสตาร์ทรถยนต์จากระยะไกล สั่งปลดล็อคประตู หรือแม้แต่การเช็คระดับน้ำมัน สะดวกสบายมากขึ้นกับการค้นหาตำแหน่งที่รถยนต์จอดอยู่ผ่านทางสมาร์ทโฟนได้ด้วยเช่นเดียวกัน

อย่างไรก็ดี  Apple CarPlay  และ Android Auto เป็นสองแอพพลิเคชั่นที่เริ่มมีการใช้จริงแล้ว ที่ถึงแม้จะมีการเข้าถึงที่แตกต่างกันออกไปแต่นั่นก็เพื่อตอบโจทย์ ‘ความปลอดภัย’ ของคนใช้รถใช้ถนน

ให้รู้ใจอยู่เคียงข้างรถใหม่ของคุณ ด้วยความใส่ใจในบริการของเรา คลิกเช็คเบี้ย!