Roojai

รถใหม่ไฮไลท์เด็ด ในงาน Motor Expo 2017

เรียกว่าเป็นของคู่กันที่ขาดไม่ได้สำหรับรถที่เป็นไฮไลต์เด็ด ในทุกๆ งานจัดแสดงและจำหน่ายรถยนต์ ซึ่งงาน Motor Expo หรือมหกรรมยานยนต์ปีนี้ก็เช่นกัน ค่ายรถยนต์ต่างๆ ล้วนนำทีเด็ดที่เป็นสิ่งดึงดูด ทั้งแบบคอนเซปต์คาร์หรือรถรุ่นใหม่ที่เตรียมเปิดตัวและเปิดตัวไป แล้วมาอวดโฉมกันอย่างคับคั่งหลากรุ่น แน่นอนทีมงานรู้ใจไม่พลาด คัดสรรยนตรกรรมเด็ดๆ มาฝากแฟนๆ อีกเช่นเคย และจะเป็นรุ่นไหนกันบ้างไปชมกันเลยครับ

TOYOTA C-HR

TOYOTA C-HR (Coupe High Rider) รถยนต์ครอสโอเวอร์ใหม่ล่าสุด  ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอกย้ำแนวคิด Ever-better Cars (การสร้างยนตกรรมที่ดียิ่งกว่า) ด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของเพชร ทำให้รูปลักษณ์ของ C-HR มีความเป็นเอกลักษณ์ สปอร์ต เฉียบคม โดดเด่นและเพียบพร้อมไปด้วย 4 เทคโนโลยีใหม่ เครื่องยนต์ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่ โครงสร้าง TNGA, Toyota Safety Sense และTelematics ที่สำคัญ Toyota C-HR ยังผสมผสานความอเนกประสงค์ของตัวรถเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ที่สนุกสนานและประทับใจ

นอกจากนี้ TOYOTA C-HR ยังได้รับการพิสูจน์มาแล้วในยุโรปและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นรถครอสโอเวอร์ที่มียอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วยยอดขายกว่า 260,000 คัน เลือกเป็นเจ้าของ TOYOTA C-HR 4 รุ่น และ 6 สี สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด (Premium Red/Black Roof, Blue Metallic/Black Roof, Radiant Green Metallic/Black Roof, White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica) และ 3 สี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica) ราคารุ่นเริ่มต้น  ไม่เกิน 1 ล้านบาท-รุ่นท็อป  ราคาไม่เกิน 1,200,000 บาท    ผู้สนใจสามารถจองสิทธิ์เป็นเจ้าของ C-HR ได้ล่วงหน้าตั้งแต่ 29 พฤศจิกายนนี้เป็นต้นไป ทางเว็บไซต์ www.toyota.co.th/c-hr หรือผู้แทนจำหน่ายโตโยต้าทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย

GT-PHEV Concept GT-PHEV Concept

รถอเนกประสงค์ต้นแบบ มิตซูบิชิ จีที-พีเอชอีวี คอนเซปต์ ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid EV ชั้นนำระดับโลก ผสานการทำงานกันอย่างลงตัวระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์เข้าไว้ด้วยกัน โดยสามารถเดินทางด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียวเป็นระยะทางสูงสุดที่ 120 กิโลเมตร และเพิ่มระยะทางเป็น 1,200 กิโลเมตร เมื่อใช้รูปแบบการขับขี่แบบผสมผสาน (Combined Hybrid) รถยนต์ต้นแบบ จีที-พีเอชอีวี คอนเซปต์ สามารถขับเคลื่อนไปบนทุกเส้นทาง

ด้วยขุมพลัง มอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว และระบบขับเคลื่อนแบบ Super All Wheel Control (S-AWC)  พร้อมระบบควบคุมอัจฉริยะ Dynamics Control System มอบเสถียรภาพในการขับขี่ ทั้งนี้ดีไซน์ของ จีที-พีเอชอีวี คอนเซปต์ ยังโดดเด่นด้วยเอกลักษณ์การออกแบบด้านหน้าแบบ ไดนามิก ชิลด์ ผสานเข้ากับเส้นสายของรถอเนกประสงค์แบบพรีเมียม ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยวัสดุหนังแท้ หรูหรา ใช้โทนสีเดียวกันกับสีหลังคา ห้องโดยสารดีไซน์ล้ำสมัยแบบค็อกพิท โอบล้อมผู้ขับขี่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัย เพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัย คอลโซลหน้าดีไซน์แบบ Horizontal Dashboard และคอลโซลกลางแบบ High Center Console ช่วยทำให้ห้องโดยสารดูกว้างขึ้น

NISSAN LEAF

นิสสัน เผยโฉม ลีฟ ใหม่ รถยนต์ไฟฟ้าที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในโลกด้วยยอดจำหน่ายมากกว่า 291,000 คัน ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการประกาศความพร้อมในการนำ นิสสัน ลีฟ ใหม่ เข้ามาจำหน่ายในประเทศไทย ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา

นิสสัน ลีฟ ใหม่มาพร้อมระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าที่ให้สมรรถนะในการตอบสนองการขับขี่อย่างรวดเร็วและต่อเนื่องด้วยพละกำลัง 110 กิโลวัตต์ มากกว่านิสสัน ลีฟ รุ่นก่อนหน้านี้ 38 เปอร์เซ็นต์ มีแรงบิดเพิ่มขึ้น 26 เปอร์เซ็นต์ที่ 320 นิวตันเมตร จึงทำให้มีอัตราเร่งที่เหนือกว่าเดิม

นอกจากพละกำลังที่มากขึ้น นิสสัน ลีฟ ใหม่ ยังสามารถขับขี่ได้ระยะทางที่ไกลกว่าเดิมด้วยแบตเตอรี่แบบ  ลิเธียม-ไอออน ชุดใหม่ โดยสามารถขับขี่ได้ระยะทางโดยประมาณ ถึง 400 กม. (ตามมาตรฐาน JC08 ของญี่ปุ่น) จากแบตเตอรี่ขนาด 40 กิโลวัตต์ ต่อชั่วโมง ซึ่งรองรับการใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี

รถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่นี้ ยังมาพร้อมเทคโนโลยีล่าสุดอย่าง e-Pedal ที่ผู้ขับขี่สามารถออกตัว เร่งความเร็ว ลดความเร็ว จอด และควบคุมรถให้อยู่นิ่งได้ด้วยการใช้แป้นเหยียบเดียว นอกจากนี้ยังมีระบบ ProPILOT เทคโนโลยีขับขี่อัตโนมัติ บนช่องจราจรเดียว และ ProPILOT Park ที่ช่วยควบคุมตัวรถและเข้าจอดได้โดยอัตโนมัติ เพื่อมุ่งตอบสนองความสะดวกสบาย และความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้งาน

Mercedes-AMG GT R

Mercedes-AMG GT R สมาชิกใหม่ของรถสปอร์ตตระกูล AMG GT ดีไซน์ภายนอกสะท้อนปรัชญาการออกแบบ Sensual Purity ส่วนหน้าของตัวรถมีลักษณะลาดต่ำ และกระจังหน้าแบบ Panamericana Grille (แพนอเมริกาน่า กริล) ยื่นออกไปคล้ายจมูกฉลามช่วยลดแรงกดที่ด้านหลังตัวรถ อีกทั้งยังประกอบด้วยวัสดุบังคับลมชุบโครเมี่ยม 15 ซี่ และล้อ forged แบบ AMG performance 10-spoke ล้อหน้า 19 นิ้ว และล้อหลังขนาด 20 นิ้ว ที่มีน้ำหนักเบา

ดีไซน์ภายในห้องโดยสารใช้เบาะที่นั่งแบบ AMG Sports Bucket seats (เอเอ็มจีสปอร์ตบักเก็ต) หุ้มด้วยหนัง Nappa และเส้นใย DINAMICA Microfibre แต่งด้วยชุดแต่ง AMG Interior Night package (เอเอ็มจีอินทีเรียร์ไนท์) สำหรับความปลอดภัยและเทคโนโลยี  มีระบบกันสะเทือนที่ออกแบบมาเพื่อใช้กับรถยนต์รุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยจะทำงานร่วมกับระบบ AMG RIDE CONTROL sport suspension (เอเอ็มจีไรด์คอนโทรล), ใช้นวัตกรรม AMG Lightweight Performance (เอเอ็มจีไลท์เวทเพอร์ฟอร์มานซ์) ที่เลือกสรรวัสดุน้ำหนักเบามาใช้ในการผลิต ทำให้มีความยืดหยุ่น (ระบบควบคุมการยึดเกาะเอเอ็มจีแบบ 9 ระดับ หรือ AMG TRACTION CONTROL) เสาค้ำยึดล้อคู่หน้าช่วยลดแรงปะทะขณะเกิดอุบัติเหตุ และยางรองแท่นเครื่องยนต์และยางรองแท่นเกียร์ที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ

Mercedes-AMG GT R ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ V8 เทอร์โบคู่ ความจุกระบอกสูบ 3,982 ซีซี กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 585 แรงม้าที่ 6,250 รอบ/นาที แรงบิด 700 นิวตัน-เมตร ที่ 1,900-5,500 รอบ/นาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ที่ 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 318 กม./ชม.

ALL-NEW SUBARU XV

ALL-NEW SUBARU XV ครอสส์โอเวอร์เอสยูวีเจนที่ 2 โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีซูบารุโกลบอล แพลทฟอร์ม SUBARU GLOBAL PLATFORM (SGP) ผสานสมรรถนะจากขุมพลังเบนซินบ็อกเซอร์สูบนอน (BOXER) และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบสมมาตร (SYMMETRICAL ALL-WHEEL DRIVE) พร้อมโหมดการขับขี่แบบ X-MODE เพื่อความปลอดภัยสูงสุด

โดดเด่นด้วยโครงสร้างใหม่ที่สามารถดูดซับแรงกระแทกจากการชนได้มากขึ้นถึง 40% มีจุดศูนย์ถ่วงที่ต่ำลงอีก 5 มม. ตัวโครงสร้างมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น 70-100% จึงทำให้ลดการโคลงของ ตัวรถยนต์ (BODY SWAY) เวลาขับขี่ถึง 50 % ลดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถึง 30% พร้อมมาตรฐานความปลอดภัยระดับสูงสุด เช่น ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC: VEHICLE DYNAMICS CONTROL SYSTEM) และระบบตรวจจับการหมุนของรถยนต์ (ATV: ACTIVE TORQUE VECTORING) ใช้เซนเซอร์ตรวจสอบตำแหน่งพวงมาลัย เมื่อเกิดแรงเหวี่ยงหนีศูนย์กลางหรือแรง G ระบบนี้จะสั่งการเบรกไปยังล้อหน้าที่อยู่ด้านในโค้ง และกระจายแรงบิดหรือ TORQUE สำหรับล้อที่อยู่ด้านนอกโค้งโดยอัตโนมัติ ทำให้ควบคุมการขับขี่ขณะเข้าโค้ง  ได้ง่ายยิ่งขึ้น

เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ (BOXER) บล็อคใหม่ล่าสุด FB20 สมดุลซ้าย/ขวาและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พัฒนาแก้ไขชิ้นส่วนต่างๆ ไปถึงเกือบ 80%  ของชิ้นส่วนทั้งหมดในเครื่องยนต์เพื่อลดน้ำหนัก  และจ่ายเชื้อเพลิงระบบฉีดเชื้อเพลิงแบบไดเรคอินเจคชั่น 2.0 ลิตร กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตัน-เมตร ที่ 4,000 รอบ/นาที พร้อมระบบควบคุมวาล์วแบบแอคทีฟ (AVCS: ACTIVE VALVE CONTROL SYSTEM) ทั้งไอดี-ไอเสีย พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มแรงบิดช่วงรอบต่ำให้อัตราเร่งที่ดียิ่งขึ้น ระบบส่งถ่ายกำลังแบบอัตราทดต่อเนื่อง (CVT) ใหม่ 7 จังหวะ พัฒนาเพิ่มช่วงของอัตราทดเกียร์ให้กว้างขึ้น และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ แบบสมมาตรตลอดเวลา (SYMMETRICAL AWD) พร้อมเพิ่มระบบ X-MODE เป็นตัวช่วยในการควบคุมเครื่องยนต์ ระบบส่งถ่ายกำลัง ระบบขับเคลื่อน เบรก และอุปกรณ์อื่นๆ ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

HYUNDAI RN30

ฮุนได RN30 รถยนต์ต้นแบบสายพันธุ์เกาหลีใต้ ถูกเผยตัวครั้งแรกในงานมหกรรมยานยนต์ปารีส 2016 เป็นตัวแรงภายใต้ดีเอ็นเอรหัส N พัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของ i30 โดยเป็นความร่วมมือกันของ 3 หน่วยงานหลัก คือ ฮุนไดมอเตอร์สปอร์ต หรือ HMSG (Hyundai Motor Sport) ศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีฮุนไดภาคพื้นยุโรป HMETC (Hyundai Motor Technical Center) และหน่วยพัฒนารถยนต์สมรรถนะสูงและการพัฒนาเทคโนโลยี (Hyundai Motor’s Performance Development & High Performance Vehicle Division)

รูปลักษณ์ภายนอกตลอดคันออกแบบตามหลักพลศาสตร์ รวมถึงบริเวณซุ้มล้อที่ดีไซน์ให้มีความโค้ง เพื่อให้อากาศสามารถไหลเวียนและถ่ายไปด้านท้ายรถได้ดี กระจังหน้าสไตล์ฌเฉกเช่นกับรถยนต์รถใหม่ในปัจจุบันที่กำลังทำตลาดอยู่ ไฟหน้าเน้นความโหดดุดันแบบรถแข่ง พร้อมเพิ่มความทันสมัยด้วยไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ ซึ่งติดตั้งอยู่ในชุดเดียวกัน ส่วนฝากระโปรงมีช่องให้อากาศให้อากาศจากหน้ารถไหลผ่านเครื่องยนต์เพื่อระบายความร้อนก่อนถ่ายเทออกไปด้านหลัง ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.0 ลิตร แรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 380 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดที่ 451 นิวตัน-เมตร เชื่อมต่อกับระบบส่งกำลังแบบอัตโนมัติ คลัตช์คู่แบบเปียก ผสานกับระบบแปรผันวาล์วฝั่งไอเสีย ยังได้รับการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้ฮุนได อาร์เอ็น 30 มีการตอบสนองด้านอัตราเร่งที่รวดเร็ว รวมถึงเร้าใจด้วยเสียงคำรามจากท่อไอเสียที่ดุดัน ช่วยเสริมอารมณ์ความสปอร์ตขณะขับขี่

MG ZS

MG ZS ยานยนต์ที่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของ B-SUV รูปลักษณ์ออกแบบด้วยแนวคิด ‘บริท ไดนามิค’ แผงเฉพาะแผงกระจังหน้าลายรังผึ้งสีดำ ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก MG E-motion Concept ผสมผสานกับไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ เปิด-ปิดอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น X) พร้อม Daytime Running Light ซึ่งทีมออกแบบเผยว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก London Eye ส่วนไฟท้ายเป็นแอลอีดี ทิวบ์ โดดเด่นกับลูกเล่นของมือเปิดฝากระโปรงท้าย ที่ออกแบบให้เป็นชุดเดียวกับโลโก้เอ็มจี การเปิดก็เพียงใช้มือกดลงไปตรงมุมด้านบน ในส่วนของล้อแม็กเป็นขนาด 17 นิ้ว (รุ่น X) และขนาด 16 นิ้ว (รุ่น C,D)

ภายในห้องโดยสารในรุ่น D และ X ตกแต่งด้วยสีสันแบบทูโทนน้ำตาล-ดำ นัยๆ ว่าต้องการสื่อสะท้อนหรือให้สัมผัสหรูสไตล์รถยุโรป เบาะนั่งหุ้มด้วยหนังสังเคราะห์ ส่วนแผงประตู และแผงคอนโซลเลือกใช้วัสดุแบบผิวสัมผัสนุ่มนวล ดึงนำสายตาด้วยช่องแอร์ดีไซน์คล้ายเจ็ทเทอร์ไบน์ ขณะเดียวกันมาตรวัดเป็นเรืองแสงพร้อมหน้าจอแสดงผล MID แสดงอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงแบบเรียลไทม์-เฉลี่ย ระยะเวลาการขับ ระยะทางที่ขับได้ เพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ และพวงมาลัยดีไซน์มุมล่างแบบตัดตรง (Flat Bottom) มาพร้อมสวิทช์ควบคุมเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และสามารถรองรับการเชื่อมต่อไร้สายผ่านบลูทูธ พร้อมยูเอสบี (USB) นอกจากนี้ยังมั่นใจยิ่งขึ้นด้วยกล้องมองหลังและเซ็นเซอร์เตือนการถอย

สำหรับไฮไลต์ของระบบ i-Smart ก็คือการรองรับการสั่งการด้วยเสียงเป็นภาษาไทย ซึ่ง MG บอกเลยว่านี่คือครั้งแรกในโลก โดยสามารถควบคุมการเปิด-ปิดซันรูฟ เพิ่ม-ลดความแรงของพัดลมแอร์ เลือกสั่งเปลี่ยนเพลง รวมทั้งการเปิดกระจกฝั่งคนขับ เพียงผู้ขับเริ่มต้นสั่งการด้วยประโยคว่า ‘ฮัลโหลเอ็มจี’

เครื่องยนต์เบนซินรหัส 15SC4 DOHC VTi-TECH 4 สูบ 1.5 ลิตร พละกำลัง 114 แรงม้าที่  6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 150 นิวตัน-เมตรที่ 4,500 รอบ/นาที โดยตัวเครื่องยนต์มีการปรับปรุงจังหวะการจุดระเบิดใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนชิ้นส่วนบางตัวให้มีน้ำหนักเบากว่าเดิมและปรับค่า Friction หรือเรียงเสียดทานให้น้อยลง อีกทั้งยังรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง E85 ผสานการทำงานด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อม Manual Mode  ระบบความปลอดภัยแบบ Synchronized Protection System ที่ติดตั้งมาให้ถึง 9 ระบบ ไม่ว่าจะเป็น ABS ระบบป้องกันล้อล็อคขณะเบรกฉุกเฉิน, EBDระบบกระจายแรงเบรก, EBA ระบบเสริมแรงเบรก, TCS ระบบป้องกันล้อหมึนฟรีและควบคุมการลื่นไถล, CBC ระบบควบคุมการเบรกขณะเข้าโค้ง, SCS ระบบความคุมการทรงตัว, HAS ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน , TPMS ตรวจสอบแรงดันลมยาง และ Emergency Stop Signal หรือระบบสัญญาณไฟเตือนเมื่อเบรกฉุกเฉิน

Bentley Bentayga

Bentley Bentayga สุดยอด Ultra Luxury SUV ทายาทลำดับที่ 4 จากสายการผลิตของ Bentley เป็นรถในกลุ่ม SUV ระดับชั้นนำของโลกที่เร็วและทรงพลังที่สุด พรีเมี่ยมด้วยการออกแบบทางวิศวกรรมยานยนต์และงานฝีมือระดับเทพจากโรงงานที่เมือง Crewe ทำให้ Bentayga ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ความเป็น Bentley ในทุกรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน แสดงออกถึงดุลยภาพระหว่างความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนได้อย่างลงตัว มาพร้อมกับโคมไฟคู่หน้า LED 4 ดวงและกระจังหน้าลายตาข่ายขนาดใหญ่ โฉบเฉี่ยวดุดันด้วยแนวเส้นตัวถังที่เหมือนกับมัดกล้าม เต็มไปด้วย DNA ของ Bentley อย่างชัดเจน

สร้างมาตรฐานการออกแบบใหม่ของงานตกแต่งภายใน จากความเหนือชั้นของผลงานที่ไร้คู่เปรียบเทียบ ไม่ว่าจะเป็นรายละเอียดของชิ้นงานโลหะ ลายไม้ และหนังแท้ด้วยคุณภาพอันดับหนึ่ง รวมไปถึงความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิตและประกอบชิ้นส่วนแต่ละชิ้นอย่างประณีตบรรจง รังสรรค์บรรยากาศสุดหรูหรา ร่วมสมัย  สไตล์อังกฤษ ความสมบูรณ์แบบดังกล่าวเกิดขึ้นได้ด้วยจิตใจอันมุ่งมั่นทุ่มเทและทักษะความชำนาญของผู้เชี่ยวชาญผนึกกำลังอย่างเต็มที่ในโรงงาน Bentley เมือง Crewe

ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์แบบ W12 TSI 6.0 ลิตรเทอร์โบ รีดพละกำลังได้สูงสุด 608 แรงม้า (600 Bhp / 447กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รอบ/นาที และแรงบิด 900 นิวตัน-เมตร เร่งจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลา 4.1วินาที) ทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 301 กม./ชม. เครื่องยนต์ W12 ของ Bentley Bentayga ใหม่นี้ใช้ระบบหัวฉีดสองรูปแบบทั้งระบบฉีดตรงและระบบฉีดไม่ตรง(direct and indirect fuel injection) โดยการปรับเปลี่ยนการทำงานของหัวฉีดเป็นไปอย่างอัตโนมัติไร้รอยต่อ เพื่อให้เกิดทั้งความนุ่มนวลที่สูงที่สุด มลพิษที่น้อยลง และพละกำลังแรงบิดที่มากที่สุด ตัวเลขในด้านประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เป็นที่น่าประทับใจด้วยอัตราการปล่อย CO2 ที่ 296 กรัม/กม. ซึ่งอัตราดังกล่าวสามารถบรรลุได้ด้วยระบบขนาดความจุเครื่องยนต์แบบแปรผัน(Variable Displacement system) ซึ่งทำงานโดยการปิดการทำงานของเครื่องยนต์ครึ่งหนึ่งภายใต้สถานการณ์ที่กำหนด ระบบวาล์วไอดีและไอเสีย, หัวฉีด, และระบบจุดระเบิดจะหยุดการทำงานในสูบที่กำหนดทำให้เครื่องยนต์ทำงานเพียง 6 สูบเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพที่สุด

เพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่แบบออฟโรด (Responsive Off-Road Setting) โดยผู้ขับสามารถเลือกการปรับแต่งรถยนต์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นผิวออฟโรดที่หลากหลายได้ พร้อมกับมีระบบตั้งความเร็วปรับระดับความเร็วอัตโนมัติ (Adaptive Cruise Control -ACC) รวมถึงระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติในสภาพรถติด (Stop & Go) ระบบคาดการณ์เพื่อการปรับความเร็วล่วงหน้า (Predictive ACC) และระบบช่วยเหลือในการจราจร (Traffic Assist) หากยังไม่จุใจแนะนำต้องไปสัมผัสและเห็นรถคันจริงกับตา รวมถึงรถรุ่นอื่นๆ อีกมากมายได้ที่งาน Thailand International Motor Expo 2017 ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน-11 ธันวาคม 2560 ณ IMPACT Challenger 1-3 เมืองทองธานี

สุดท้ายอย่าลืมให้ ”รู้ใจ” เคียงข้างคุณ ด้วยประกันแสนดี การันตีถึงที่เกิดเหตุภายใน 30 นาที ประกันชั้น 1 ผ่อนสบายๆ 0% ยาว 10 เดือน