Roojai

แนะนำ 6 วิธีวางแผนเดินทางไกลด้วยรถยนต์ไฟฟ้า

Article Roojai Verified
วางแผนเดินทางไกลด้วยรถยนต์ไฟฟ้า | ประกันรถ EV | รู้ใจ

ใครว่ามีรถยนต์ไฟฟ้าแล้วเดินทางไกลไม่ได้ บอกเลยว่าคุณกำลังพลาดโอกาสสัมผัสประสบการณ์ดี ๆ ไปอย่างไม่รู้ตัว เพราะเพียงแค่วางแผนการเดินทางให้ดี ค้นหาสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าไว้ล่วงหน้า ก็ช่วยให้คุณมีทริปที่น่าประทับใจไปอีกนาน แต่จะมีวิธีวางแผนยังไงบ้าง ตามรู้ใจไปทำความเข้าใจพร้อมทริคการขับรถทางไกลให้ปลอดภัยกันเลยดีกว่า

สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!

รถยนต์ไฟฟ้าเดินทางไกลได้แค่ไหน?

ในปี พ.ศ.2565 จากผลสำรวจความเห็นชาวอเมริกัน โดย American Automobile Association (AAA) ถึงเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ยังไม่ซื้อ EV โดยผลสำรวจพบว่า

  • 60% มองว่าราคาสูง และกังวลเรื่องความพร้อมของสถานีชาร์จ
  • 58% กังวลเรื่องแบตเตอรี่หมดกลางคัน
  • 55% กังวลเรื่องไม่เหมาะกับการเดินทางไกล และกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยน/ซ่อมแบตเตอรี่
  • 31% กังวลเรื่องติดตั้งที่ชาร์จที่บ้านไม่ได้

เห็นได้ว่าคน 55% ยังคงกังวลเกี่ยวกับการใช้รถ EV เดินทางไกล ตามข้อมูลของเว็บไซต์ SPACEBAR ที่ได้รวบรวมสถิติระยะทางที่รถยนต์ไฟฟ้าวิ่งได้ จากการศึกษาขององค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency – IEA) พบว่า ค่าเฉลี่ยของระยะทางที่รถ EV วิ่งได้ใน พ.ศ.2566 อยู่ที่ 380 กิโลเมตรต่อการชาร์จ (ชาร์จเต็ม 100%)

สมมติว่า จุดเริ่มต้น (กิโลเมตรที่ 0) อยู่ที่ถนนราชดำเนินกลาง อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย หากวิ่งไปในแต่ละทิศโดยไม่ชาร์จไฟเพิ่มจะพบจุดหมายปลายทาง ดังนี้

  • ไปทิศเหนือ : จะถึงวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ระยะทาง 375 กิโลเมตร
  • ไปทิศตะวันออก : จะถึงปราสาทหินพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ ระยะทาง 363 กิโลเมตร
  • ไปทิศใต้ : จะถึงหาดแม่รำพึง อ.บางสะพาน เกือบปลายสุดของจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ระยะทาง 380 กิโลเมตร

ทั้งนี้ ตัวเลขที่รวบรวมมาข้างต้น ทางเว็บไซต์ SPACEBAR ระบุว่าเป็นการประเมินบนกระดาษเท่านั้น เพราะในชีวิตจริงคงไม่มีใครขับรถทางไกลโดยไม่แวะชาร์จแบต หรือวิ่งจนหยดสุดท้าย แต่จะต้องวางแผนการเดินทาง คิดไว้ล่วงหน้า ว่าจะแวะชาร์จที่จุดไหน และระหว่างที่รอชาร์จจะทำอะไร นอกจากนี้ควรมีแผนสำรองกรณีที่หัวชาร์จเสียหรือไม่ว่างด้วย

เทคนิคการขับรถทางไกลด้วยรถยนต์ไฟฟ้า | ประกันรถ EV | รู้ใจ

6 วิธีขับรถทางไกลด้วยรถไฟฟ้า

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการวางแผนเดินทางไกลด้วยรถ EV เป็นหนึ่งในเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจมาก ๆ เพื่อให้การเดินทางราบรื่นและเกิดอุปสรรคน้อยที่สุด โดยวิธีการวางแผนการเดินทาง มีดังนี้

1. ตรวจสอบระยะทางวิ่งสูงสุดของรถไฟฟ้า

รถยนต์ไฟฟ้าแต่ละแบรนด์และแต่ละรุ่น มีระยะทางวิ่งสูงสุดที่แตกต่างกัน ดังนั้นก่อนขับรถทางไกล แนะนำให้ตรวจสอบระยะทางวิ่งสูงสุดของรถ EV ให้ดีก่อน เพื่อให้แน่ใจว่ามีระยะทางเพียงพอต่อการเดินทางจนถึงจุดหมายปลายทาง

2. วางแผนเส้นทางที่ต้องการขับรถทางไกล

หากต้องการวางแผนเส้นทาง เมื่อต้องขับรถทางไกลด้วยรถไฟฟ้า EV ให้วางแผนด้วยการระบุจุดเริ่มต้น และจุดหมายปลายทางผ่านแอปพลิเคชั่นค้นหาสถานีชาร์จ เพราะแอปฯ จะแสดงเส้นทางพร้อมจุดชาร์จที่แนะนำตามระยะทาง และกำลังไฟที่ต้องการ

3. ค้นหาและปักหมุดสถานีชาร์จ

ควรค้นหาสถานีชาร์จพลังงานไฟฟ้าตลอดเส้นทางที่ต้องขับผ่าน ว่ามีที่ไหนบ้าง รวมถึงค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับหัวชาร์จ และอัตราค่าบริการให้ดี โดยใช้แอปพลิเคชั่นค้นหาสถานีชาร์จ และปักหมุดไว้เลยว่าจะชาร์จจุดไหนบ้าง และอย่าลืมเผื่อกรณีที่หัวชาร์จเสีย หรือไม่ว่างด้วย

4. เผื่อเวลาในการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า

หัวชาร์จแต่ละประเภท ใช้ระยะเวลาในการชาร์จแบตรถ EV แตกต่างกัน โดยทั่วไปการชาร์จจากระดับต่ำสุดถึงเต็ม จะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีถึง 4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับประเภทของหัวชาร์จและกำลังไฟของสถานีชาร์จ แนะนำให้เผื่อเวลาส่วนนี้เอาไว้ด้วย

5. คำนึงถึงสภาพอากาศ

นอกจากระยะทางวิ่งสูงสุด วางแผนเส้นทาง และเผื่อเวลาชาร์จแล้ว ยังควรคำนึงถึงสภาพอากาศในวันที่ขับรถไฟฟ้าทางไกลด้วย เพราะประเด็นนี้ส่งผลต่อประสิทธิภาพของรถไฟฟ้าโดยตรง เช่น สภาพอากาศร้อนจัด อาจชาร์จได้ช้าลง เป็นต้น

6. ตรวจสอบสภาพรถให้พร้อมใช้อยู่เสมอ

ก่อนขับรถทางไกลทุก ๆ ครั้ง หรือทุกทริป ควรตรวจสอบสภาพรถ EV ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการเติมลมยาง การตรวจสอบระดับแบตเตอรี่ และการตรวจสอบระบบชาร์จ

Tips: เทคนิคการขับรถทางไกล ขับยังไงให้ไร้กังวลทุกเส้นทาง?

อุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าคุณจะเดินทางไกลหรือขับขี่ระยะทางสั้น ๆ ก็ตาม ดังนั้นการมีเทคนิคการขับรถทางไกลก็เป็นหนึ่งในสิ่งที่ควรให้ความสนใจด้วยเช่นกัน โดยมีเทคนิคดังนี้

  1. จอดพักรถ แนะนำว่าเมื่อขับรถไปได้สัก 3 ชั่วโมง ควรแวะจอดพักรถ เพื่อให้เครื่องยนต์รถไฟฟ้าได้พัก และระบายความร้อนที่สะสมในระบบต่าง ๆ นอกจากนี้ยังช่วยให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารได้พักร่างกาย ซึ่งควรพัก ‘อย่างน้อย’ 30 นาที
  2. การใช้ความเร็ว ควรขับรถด้วยความเร็วที่กฎหมายกำหนด และเมื่อขับอยู่เลนขวาไม่ควรขับช้าจนเกินไป เพราะอาจเกิดอันตรายได้
  3. สังเกตป้ายเตือน หากคุณขับรถในความเร็วที่เหมาะสม ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป จะช่วยให้คุณมองเห็นป้ายจราจรข้างทางได้ชัดเจน ซึ่งการขับรถทางไกลที่ปลอดภัยควรหมั่นสังเกตป้ายเตือนต่าง ๆ เช่น ป้ายเตือนการแซง, การวิ่งทางโค้ง, การใช้เกียร์ให้ถูกต้อง หรือการจำกัดความเร็ว ฯลฯ

การเดินทางไกลควบคู่กับการปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดอุบัติเหตุได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังช่วยให้เห็นป้ายชื่อถนน หรือเส้นทางที่กำลังมุ่งหน้าไปอย่างชัดเจน ป้องกันการขับรถไปผิดทาง และอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยลดผลกระทบเมื่อเกิดอุบัติเหตุคือ การมีประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่พร้อมดูแลหากเกิดเหตุไม่คาดฝัน โดยเฉพาะเวลาเดินทางไกลแล้วต้องไปในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย มีประกันรถติดไว้อุ่นใจกว่า

เห็นแล้วใช่มั้ยว่า? จริง ๆ แล้วรถยนต์ไฟฟ้าสามารถเดินทางไกลได้สบาย ๆ ขอแค่มีการเตรียมตัว และเตรียมรถให้พร้อมก่อนขับรถทางไกล ก็ช่วยให้คุณเดินทางถึงจุดหมายปลายทาง และเก็บเกี่ยวประสบการณ์ดี ๆ ได้อย่างที่ต้องการ

สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยบกับประกันภัยต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)

คำจำกัดความ

สภาพอากาศ สภาวะของบรรยากาศในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ ซึ่งรวมถึงอุณหภูมิ ความชื้น ลม ฝน และปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อสภาพแวดล้อม
ป้ายจราจร สัญลักษณ์ที่ใช้ในการควบคุมและบริหารจัดการการจราจร เพื่อให้การขับขี่เป็นไปอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ
previous article
< บทความก่อนหน้า

เทเลมาติกส์ (Telematics) ป้องกันอุบัติเหตุ ปรับปรุงการขับขี่ยังไง?