Roojai

เจาะเทคโนโลยียานยนต์แบบไร้คนขับ

ยานยนต์ไร้คนขับ หลายครั้งที่เรามักเห็นนวัตกรรมแบบนี้ในภาพยนตร์เรื่องดัง ต่อไปนี้คงไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันอีกต่อไป เพราะปัจจุบันมีองค์กรหรือบริษัทรถยนต์ได้ทำมันให้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว เห็นได้จากบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย ได้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับของตัวเองออกมาสู่สาธารณะชน ไม่ว่าจะเป็น BMW, Audi, Bosch, Daimler, Honda, Toyota, Mercedes-Benz และอีกหลากหลายแบรนด์ และล่าสุดที่ก้าวเข้าสู่แวดวงนี้ก็คือ Apple โดยมีข่าวว่ามีการสร้างห้องแล็บใหม่ในกรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนี เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ

นอกจากนี้ยักษ์ใหญ่ด้านซอฟแวร์และเสิร์ชเอนจินของโลกอย่าง Google ได้ร่วมกับ Ford, Uber, Lyft และ Volvo พัฒนาโครงการที่ชื่อว่า Self-Driving Coalition for Safer Streets เพื่อผลักดันข้อกฎหมายและเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบต่างๆ เพื่อทำให้รถยนต์ไร้คนขับ สามารถวิ่งบนท้องถนนทั่วสหรัฐอเมริกาได้อย่างปลอดภัย พร้อมมีการอ้างอิงจากข้อมูลของกรมการขนส่งแห่งสหรัฐฯ เปิดเผยว่า 94% ของอุบัติเหตุบนท้องถนนล้วนเกิดจากความผิดพลาดโดยมนุษย์ ด้านบริษัท Waymo ฝ่ายพัฒนารถยนต์ไร้คนขับของ Google ได้คาดการณ์ว่า ในอนาคตจะมีบริษัทรถยนต์ขับเคลื่อนด้วยตัวเองเกิดขึ้นอีกมากมาย ดังนั้นการมีอุบัติเหตุจากยานพาหนะขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติเกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีนี้ยังไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งยังจะคงมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้งต่อไปในอนาคต และเชื่อได้ว่าในอนาคตอันใกล้ เราจะได้เห็นรถยนต์ไร้คนขับวิ่งอยู่บนท้องถนนแน่นอน

ขณะเดียวกัน Baidu จากจีนก็แสดงถึงความตั้งใจที่จะพัฒนานวัตกรรมนี้ด้วยเช่นกัน โดยเปิดตัวแผนกพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ โดยมีแผนจะดึงวิศวกรนับ 100 มาร่วมงานภายในสิ้นปีนี้ รวมทั้งเตรียมจะทดสอบรถยนต์ไร้คนขับของตัวเองบนถนนสหรัฐฯ ภายในปีนี้ โดยมีเป้าเปิดตัวรถยนต์ประเภทนี้ในจีนให้ได้ภายในปี 2018

โดยหน่วยงานด้านยานยนต์ (Department of Motor Vehicles : DMV) ของ California ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ออกกฎหมายฉบับใหม่ เพื่ออนุญาตให้นำรถยนต์ไร้คนขับสามารถวิ่งได้อย่างถูกกฎหมาย เช่นเดียวกับกฎหมายของรัฐ Michigan เมื่อปลายปีที่แล้ว โดยปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตรถยนต์และบริษัทเทคโนโลยี ถูกกำหนดให้ต้องมีคนขับรถนั่งอยู่ที่เบาะหน้ารถ เพื่อควบคุมการทำงานของรถยนต์หากเกิดเหตุผิดปกติ ซึ่งบริษัทผู้ผลิตจำเป็นจะต้องส่งบันทึกการเดินทางโดยละเอียดไปยังหน่วยงานยานยนต์ของรัฐแคลิฟอร์เนีย ด้านโฆษกประจำ DMV กล่าวว่า “นับเป็นการก้าวล้ำไปอีกขั้นในการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับ และการนำรถยนต์ไร้คนขับดังกล่าวไปใช้งานสาธารณะ ซึ่งผู้ผลิตจะต้องมีความพร้อมในการทดสอบรถยนต์ไร้คนขับนี้ โดยให้บริษัทเปิดเผยข้อมูลอุบัติเหตุที่เกิดจากรถไร้คนขับ”

ล่าสุดในงาน CES 2017 หรือ Consumer Electric Show 2017 ที่จัดขึ้นรัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา มีบริษัทผู้ผลิตในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ต่างนำนวัตกรรมทันสมัย เข้าร่วมจัดแสดงอย่างมากมาย โดยผู้ผลิตยานยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นทั้ง Toyota, Nissan และ Honda ได้ใช้เวทีนี้นำผลงานการพัฒนามาอวดโฉมเพื่อแสดงถึงพัฒนาการที่ก้าวล้ำ

Toyota Concept-i ยานยนต์รถไร้คนขับ ภายใต้แนวคิด ‘Kinetic Warmth’ เพื่อสื่อสะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และยานยนต์ เห็นได้จากดีไซน์อันอ่อนโยและปลอดภัย เพื่อให้ผู้โดยสารสัมผัสได้ถึงการเดินทางที่มีชีวิตชีวา และสามารถแสดงออกได้ราวกับสิ่งมีชีวิตเพื่อสื่อสารกับสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้ เช่น กะพริบตา แสดงข้อความที่ด้านหน้า ประตูด้านข้างและท้ายรถ นอกจากนี้ Concept-i ยังมีลูกเล่นภาพกราฟิกที่เคลื่อนไหวไปมาเสมือนการเต้นของชีพจร จนทำให้รถดูเหมือนมีชีวิต โดยมี Head Up Display บนกระจกบังลมด้านหน้าแสดงข้อมูลต่างๆ  เช่น ระบบนำทาง เป็นต้น

ด้าน Nissan ได้นำ IDS Concept ที่เคยโชว์ตัวมาในงาน โตเกียว มอเตอร์โชว์ 2015 มาอวดโฉม หลายสื่อคาดการณ์ว่าอาจจะเป็นต้นแบบของ Leaf 2017 อย่างไรก็ดีในงาน CES 2017 ครั้งนี้ Nissan ตั้งใจใช้ IDS เป็นตัวถ่ายทอดความอัจฉริยะ AI สมองสั่งการของ SAM (Seamless Autonomous Mobility) ที่ได้รับการพัฒนาโดย NASA โดยสามารถประมวลผลจากข้อมูลซึ่งแลกเปลี่ยนสื่อสารเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายกับรถคันอื่นๆ ผ่านระบบดาวเทียมสำหรับยานยนต์ในอนาคตที่ขับเคลื่อนได้เองอย่างอิสระ

ขณะเดียวกันฝั่ง Honda ก็ได้นำ NeuV Concept มาร่วมโชว์ เป็นยานยนต์ไร้คนขับ ภายใต้แนวคิดขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้า ออกแบบโดย Honda R&D อเมริกา เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์การใช้งานในเมืองเป็นหลัก ด้วยขนาดที่กะทัดรัดรองรับผู้โดยสารได้ 2 ที่นั่ง และผู้โดยสารสามารถเดินทางอย่างสะดวกสบายด้วยฟังก์ชั่นขับขี่อัตโนมัติ ด้วยการสั่งการผ่านแผงหน้าปัด ไฮไลท์สำคัญที่ทำให้ NeuV เป็นยานยนต์ที่มีความล้ำสมัยคือ สมองสั่งการที่มีชื่อว่า ‘HANA’ (Honda Automated Network Assistant) ซึ่ง HANA สามารถรับรู้-เรียนรู้อารมณ์และการตัดสินใจของคุณได้เอง เก็บเป็นฐานข้อมูลเพื่อนำไปประมวล และพร้อมจะเข้าใจรวมทั้งให้คำแนะนำคุณได้อย่างชาญฉลาด

เชื่อได้ว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราจะได้เห็นยานยนต์ไร้คนขับวิ่งอยู่บนท้องถนน โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2040 ในท้องถนนจะมีรถยนต์ไร้คนขับมากถึง 75% ที่สำคัญมีการประเมินว่าอุบัติเหตุทางถนนล้วนมีสาเหตุจากมนุษย์ทั้งสิ้น ทั้งนี้มีการประเมินว่าเทคโนโลยีแบบไร้คนขับนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนได้ดียิ่งขึ้น รวมทั้งเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทางอีกด้วย แต่กว่าจะไปถึงจุดนั้นตอนนี้มีรู้ใจไว้อุ่นใจแน่นอน