Roojai

ประโยชน์และโทษของการวิ่งที่คุณคาดไม่ถึง! ระยะยาวควรระวังอะไร?

Article Roojai Verified
ประโยชน์และโทษของการวิ่งที่คุณคาดไม่ถึง! ระยะยาวควรระวังอะไร รู้ใจมีคำตอบ

เมื่อการวิ่งกลายมาเป็นหนึ่งในกิจกรรมการออกกำลังที่หลายคนนิยม เมื่อนึกถึงประโยชน์ของการออกกําลังกาย เพราะทำได้ง่าย ไม่ต้องพึ่งอุปกรณ์หรือเงื่อนไขใด ๆ ให้ยุ่งยากเกิน แต่เหมือนทุกสิ่งที่ดีก็ย่อมมีสองด้านเพราะมันก็มีข้อควรระวังเช่นกัน ถ้าคุณสงสัยว่าวิ่งทุกวันดีไหม บ่อยแค่ไหนถึงเรียกว่าเหมาะสม หรือการวิ่งมีประโยชน์อย่างไร โดยเฉพาะในมุมที่ ‘ลึก’ กว่าที่เคยได้ยิน รู้ใจจะพาคุณไล่ทีละจุด ทั้งข้อดี ข้อจำกัด สรุปให้เห็นภาพชัด ๆ ว่าประโยชน์ของการวิ่งมีอะไรบ้าง เหมาะสำหรับใคร และในระยะยาวควรระวังอะไรบ้าง

สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!

ประโยชน์ของการวิ่งมีอะไรบ้าง? สิ่งที่หลายคนรู้ แต่ไม่ครบ

หลายคนอาจทราบดีแล้วว่าการวิ่งดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่ว่า “ดี” แค่ไหน และดีในเรื่องอะไรบ้าง เพราะประโยชน์ของการวิ่งไม่ได้มีแค่ช่วยเผาผลาญไขมันเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อร่างกายและจิตใจในแบบที่คุณคาดไม่ถึง ดังนี้

1. เสริมสร้างสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด

เมื่อเราวิ่ง หัวใจจะเต้นเร็วขึ้นเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย การออกกำลังกายด้วยการวิ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงขึ้น ทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดโอกาสเกิดภาวะหัวใจโตหรือหัวใจล้มเหลว นอกจากนี้การเผาผลาญพลังงานและไขมันออกจากร่างกายด้วยการวิ่งยังช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี (LDL)  และยังเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลที่ดี (HDL) ทำให้หลอดเลือดมีความยืดหยุ่น ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

2. เผาผลาญพลังงานและควบคุมน้ำหนัก

การวิ่งถือเป็นหนึ่งในวิธีเผาผลาญแคลอรีที่ดีที่สุด เมื่อร่างกายใช้พลังงานมากขึ้น ไขมันสะสมก็จะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง ทำให้น้ำหนักลดลงและรูปร่างกระชับ การวิ่งยังช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ แม้หยุดวิ่งแล้วร่างกายก็ยังคงเผาผลาญต่อ (afterburn effect)

และถ้าเรา ‘ควบคุมอาหาร’ ร่วมด้วย จะลดน้ำหนักได้เร็วกว่า และถ้าหากสงสัยว่าวิ่งช่วยลดพุงไหม วิ่งช่วยลดอะไรบ้าง คำตอบคือ การวิ่งเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เผาผลาญพลังงานได้มาก โดยเฉพาะไขมันหน้าท้อง และสามารถลดไขมันทุกส่วนของร่างกาย

3. เสริมความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ

แรงกระแทจากการวิ่งอาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยง แต่แท้จริงแล้วเป็นตัวช่วยให้กระดูกมีความหนาแน่นและแข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคกระดูกพรุนในวัยสูงอายุ ขณะเดียวกัน กล้ามเนื้อขา สะโพก และแกนกลางลำตัว จะถูกใช้งานอยู่ตลอด ทำให้แข็งแรงขึ้น ร่างกายสามารถทรงตัวได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงต่อการหกล้มหรือบาดเจ็บในชีวิตประจำวัน อย่างไรก็ตาม ควรวิ่งอย่างถูกวิธีและเหมาะสม

ประโยชน์ของการวิ่งที่คุณอาจคาดไม่ถึง | รู้ใจประกันภัย

4. ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

การวิ่งช่วยเพิ่มความไวต่อฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินได้ดีขึ้น น้ำตาลในเลือดจึงถูกดึงเข้าไปใช้เป็นพลังงานมากขึ้นไม่ค้างอยู่ในเลือด นอกจากนี้ในระหว่างวิ่ง กล้ามเนื้อดึงน้ำตาลจากเลือดมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทันที ส่งผลให้ระดับน้ำตาลลดลงทั้งขณะวิ่งและหลังวิ่ง สำหรับคนทั่วไปการวิ่งจะลดความเสี่ยงเบาหวาน ส่วนคนที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว การวิ่งช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและลดภาวะแทรกซ้อน

5. จิตใจแจ่มใส ลดความเครียด

การวิ่งไม่ได้ช่วยแค่ร่างกาย แต่ยังดีต่อจิตใจอย่างมาก เพราะในตอนที่เรากำลังวิ่งร่างกายจะหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ซึ่งทำให้รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข หลายคนเรียกสิ่งนี้ว่า “runner’s high” หรือความสุขที่เกิดจากการวิ่ง นอกจากนี้ การวิ่งยังช่วยให้สมองมีเวลาได้ “พัก” จากความคิดซ้ำๆ ที่ทำให้เครียด สมองจะปลอดโปร่งขึ้น ลดความวิตกกังวลและช่วยป้องกันภาวะซึมเศร้าได้

6. นอนหลับมีประสิทธิภาพมากขึ้น

การวิ่งอย่างสม่ำเสมอช่วยปรับสมดุลของร่างกาย ทำให้ระบบนาฬิกาชีวภาพทำงานได้ปกติ ส่งผลให้เรานอนหลับอย่างมีคุณภาพ หลับง่าย หลับลึก และตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น และการวิ่งช่วยกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว มีพลังงานในการทำงานหรือเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ มากขึ้น คนที่วิ่งประจำมักจะมีความกระฉับกระเฉงและอ่อนเพลียในชีวิตประจำวันน้อยลง

7. เสริมวินัยและสร้างแรงบันดาลใจ

อีกหนึ่งข้อดีที่หลายคนคาดไม่ถึง คือการวิ่ง แอบสอนให้เราเรียนรู้การตั้งเป้าหมาย วินัย และความสม่ำเสมอ เช่น เวลาวิ่งเราจะเริ่มจากระยะทางสั้นๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น หรือฝึกเพื่อเข้าร่วมงานวิ่งระยะยาว รวมถึงสิ่งที่ยากที่สุดคือการลุกออกจากเตียงไปขยับร่างกายด้วย นอกจากนี้ การวิ่งยังมีมาราธอน ฮาฟมาราธอน งานวิ่งต่าง ๆ ทำให้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ ที่มีเป้าหมายเดียวกัน ทำให้มีกำลังใจในการดูแลสุขภาพไปด้วยกัน

ประโยชน์ของการวิ่ง เดิน และออกำลังกายสม่ำเสมอ ช่วยให้สุขภาพองค์รวมแข็งแรงมากขึ้น แต่อุบัติเหตุเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้แบบไม่ทันได้เตรียมตัว การมีประกันอุบัติเหตุติดไว้ช่วยให้คุณมีความมั่นใจ และกล้าที่จะออกไปวิ่งและใช้ชีวิตมากขึ้น เพราะมีประกันภัยช่วยซัพพอร์ต

วิ่งทุกวันดีไหม? ให้ผลดีหรือผลร้ายตามมา

ความเหมาะสมของการวิ่ง ขึ้นอยู่กับความเข้มข้น ระยะเวลา และการฟื้นฟูร่างกาย หากคุณวิ่งอย่างเหมาะสมทุกวัน จะสร้างวินัยและความสม่ำเสมอ ช่วยควบคุมน้ำหนักและระบบเผาผลาญ หัวใจแข็งแรง เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดความเครียดได้รีเซ็ตอารมณ์ทุกวัน ช่วยให้นอนหลับดี แต่หากวิ่งไม่เหมาะสม หนักเกินไป อาจต้องเสียงกับอาการบาดเจ็บ เช่น เกิดอาการบาดเจ็บจากการใช้งานซ้ำ ๆ overuse เช่น ปวดเข่า ข้อเท้า กล้ามเนื้ออักเสบ, เสี่ยงกับการเหนื่อยล้าเรื้อรัง, หมดแรงหรือเบื่อหน่าย

วิ่งอย่างเหมาะสมเป็นยังไง?

  • ท่าวิ่ง และรองเท้าที่เหมาะสม
  • สำหรับมือใหม่ เริ่มวิ่ง 3–4 วัน/สัปดาห์ สลับกับการพักหรือทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น เดินเร็ว โยคะ ปั่นจักรยาน
  • คนที่วิ่งประจำแล้ว สามารถวิ่งทุกวันได้ แต่ควรสลับ “วันหนัก–วันเบา” เช่น วันหนึ่งวิ่งเร็ว/ไกล อีกวันวิ่งช้า ๆ เพื่อพักฟื้น
  • ฟังร่างกายตัวเอง ถ้ามีอาการเจ็บปวดผิดปกติ ควรหยุดพักทันที อย่าฝืนเกินไป
  • ควรมีการยืดเหยียดและเสริมกล้ามเนื้อ ป้องกันการบาดเจ็บ
การวิ่ง กิจกรรมเสริมสร้างสุขภาพที่ทำได้ทั้งครอบครัว มีประโยชน์อย่างไรบ้าง | รู้ใจประกันภัย

ในระยะยาว ควรระวังอะไรบ้าง?

การวิ่งแม้จะมีข้อดี เช่น ทำให้หัวใจและหลอดเลือดแข็งแรง สุขภาพดี ควบคุมน้ำหนัก แต่ต้องเป็นการวิ่งอย่างถูกวิธีและเหมาะสม ในระยะยาวหากวิ่งไม่ถูกวิธีหรือหักโหมเกินไป ควรต้องระวังดังนี้

  1. การสึกหรอของข้อต่อ – แรงกระแทกที่สะสมหลายปีอาจทำให้กระดูกอ่อนและข้อต่อสึกเร็วขึ้น โดยเฉพาะหัวเข่าและข้อเท้า โดยเฉพาะกับคนที่มีน้ำหนักตัวมาก รองเท้าไม่ซัพพอร์ต หรือท่าวิ่งไม่ถูกต้องจะยิ่งเสี่ยงสูง
  2. การบาดเจ็บเรื้อรังจากการใช้งานซ้ำ – ถ้าวิ่งหลายปีโดยไม่ปรับแผนให้เหมาะสมกับแต่ละคน อาจเกิดการเจ็บเรื้อรัง เช่น เอ็นร้อยหวายอักเสบ, รองช้ำ, Runner’s knee มักเกิดจากการซ้อมหนักเกินไปหรือไม่ฟังสัญญาณร่างกาย
  3. ขาดสารอาหารและฮอร์โมนไม่สมดุล – นักวิ่งที่วิ่งระยะยาวต่อเนื่องหลายปีแต่กินไม่พอ อาจเจอปัญหา ภาวะพลังงานต่ำทำให้เหนื่อยง่าย, ภูมิคุ้มกันตก, ฮอร์โมนเพศลดลง, ผู้หญิงอาจประจำเดือนขาด
  4. ความเครียดและหมดไฟ – การวิ่งต่อเนื่องหลายปีโดยไม่มีการพักหรือเป้าหมายใหม่ๆ อาจทำให้เกิด mental burnout เบื่อ ไม่อยากวิ่ง หรือกดดันตัวเองมากเกินไป

Tips วิ่งยังไงให้ Happy ไม่หมดไฟ ส่งผลเสียกับร่างกายน้อยที่สุด

เรื่องแรกที่สำคัญที่สุดคือ การออกกำลังกายและวิ่งอย่างพอดี มีเวลาให้ร่างกายพักฟื้น อย่าหักโหม และลองทำตามวิธีดังนี้

  1. ลองสลับวิ่งกับการออกกำลังแบบแรงกระแทกน้อย เช่น ว่ายน้ำ, โยคะ, พิลาทิส
  2. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเสมอ ลดอาการบาดเจ็บ
  3. เปลี่ยนรองเท้าวิ่งตามอายุการใช้งาน
  4. เสริม core training, เวทเทรนนิ่ง เสริมสร้างกล้ามเนื้อ
  5. กินอาหารครบถ้วน โปรตีนและคาร์โบไฮเดรตเพียงพอ และตรวจสุขภาพประจำปี
  6. เปลี่ยนบรรยากาศการวิ่ง เช่น เข้าร่วมกิจกรรมวิ่งเพื่อความสนุก ไม่ใช่แข่งอย่างเดียว

การวิ่งไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวเพื่อเผาผลาญแคลอรี แต่เป็นกิจกรรมที่ส่งผลดีต่อทั้งร่างกายและจิตใจแบบองค์รวม ไม่ว่าจะเพื่อหัวใจที่แข็งแรง รูปร่างที่ดี สมองที่ปลอดโปร่ง หรือแม้แต่ความมั่นใจและแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต อย่างไรก็ตามแม้ประโยชน์ของการวิ่งจะมีหลากหลาย แต่ก็ควรวิ่งอย่างพอดี หากหักโหมนอกจากจะส่งผลเสียต่อร่างกายแล้ว ยังส่งผลเสียต่อจิตใจอีกด้วย

​​สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ​ประกันภัย​ต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือ​เพิ่มเพื่อนทาง LINE​ ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)

คำจำกัดความ

อาการบาดเจ็บแบบ overuseอาการบาดเจ็บเล็กน้อยที่เกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น กล้ามเนื้อ เอ็น กระดูก หรือแผ่นกระดูกอ่อน จากการใช้งานส่วนนั้นๆ ซ้ำๆ มากเกินไปหรือต่อเนื่องเป็นเวลานาน
mental burnoutภาวะที่เกิดจากความเครียดเรื้อรัง โดยเฉพาะจากการทำงาน การเรียน หรือภาระหน้าที่ในชีวิตประจำวัน จนทำให้รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และจิตใจอย่างต่อเนื่อง แม้จะพักผ่อนแล้วก็ยังไม่รู้สึกดีขึ้น
previous article
< บทความก่อนหน้า

อันตรายจากอาหารแปรรูป กินมากไป เสี่ยงโรคอะไรบ้าง?