Roojai

หูอื้อข้างเดียวเกิดจากอะไร? เผย 5 วิธีแก้-เมื่อไหร่ควรพบแพทย์

Article Roojai Verified
วิธีแก้อาการหูอื้อข้างเดียวที่ควรรู้ | รู้ใจประกันภัย

อาการหูอื้อ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับใครหลายคน เช่น เกิดตอนขึ้นเครื่องบิน น้ำเข้าหู อยู่บนที่สูง เป็นหวัดหรือไซนัสอักเสบ ไม่ว่าจะหูอื้อข้างเดียวหรือสองข้าง บทความนี้จะบอกวิธีบรรเทาอาการหูอื้อ สาเหตุของอาการหูอื้อ ไปจนถึงเรื่องที่ควรรู้ที่สุดคือเมื่อไหร่ที่เราควรไปพบแพทย์ อาการที่เป็นคือหูอื้อหรือหูดับ เพราะการชะล่าใจอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด

สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!

อาการหูอื้อ คืออะไร?

หูอื้อ คือ ภาวะที่รู้สึกว่าการได้ยินเสียงลดลง หรือรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอุดอยู่ในหู อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ โดยคนที่มีอาการหูอื้อจะรู้สึกว่าเสียงรอบข้างเบากว่าปกติ หรือได้ยินเสียงผิดเพี้ยนไป เช่น เสียงอู้อี้ เสียงจี่ เสียงลมหรือเสียงน้ำไหลในหู โดยอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหรือกินเวลานานหลายวัน

อาการหูอื้อข้างเดียว เกิดจากอะไร?

อาการหูอื้อเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยหูอื้อข้างเดียวมักเป็นจากสาเหตุ เช่น ขี้หูอุดตัน หูชั้นกลางอักเสบสองข้างอาจเป็นจากหวัด ไซนัสอักเสบ หรืออายุ ด้านล่างสรุปเป็นประเด็นตัวอย่างสาเหตุของอาการหูอื้อ ดังนี้

  1. ขี้หูอุดตัน ขี้หูมีส่วนช่วยในการดักฝุ่นและป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่หูชั้นใน แต่ถ้ามีมากเกินไป อาจแข็งตัวและอุดช่องหู ทำให้เสียงเข้าไปไม่ถึงแก้วหู เกิดเป็นอาการหูอื้อ โดยเฉพาะถ้ามีการใช้สำลีก้านแคะหูบ่อย ๆ ซึ่งจะดันขี้หูลึกเข้าไปมากขึ้น
  2. การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศ เกิดเมื่อความดันในหูชั้นกลางไม่เท่ากับความดันภายนอก เช่น ขึ้นหรือลงเครื่องบิน ดำน้ำลึก ขับรถขึ้นเขา เป็นต้น
  3. การติดเชื้อในหู เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ทำให้มีของเหลวหรือน้ำหนองสะสมในหูชั้นกลาง แรงดันจากของเหลวทำให้หูอื้อ ปวดหู และบางครั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย
  4. ปัญหาที่เกี่ยวกับประสาทหูหรือการได้ยิน
    • ความเสี่ยงจากอายุที่มากขึ้น ทำให้ประสาทหูเสื่อมอย่างช้า ๆ
    • การฟังเสียงดังเป็นเวลานาน  เช่น ทำงานในที่เสียงดัง หรือฟังเพลงผ่านหูฟังดังเกินไป
    • การฟังเสียงดังมาก เป็นเวลาสั้น ๆ เช่น เสียงพลุ เสียงปืน ประทัด อาจทำให้เส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน
  5. การบาดเจ็บของหูหรือศีรษะ เช่น การกระแทกแรง ๆ หรือแรงดันน้ำสูงขณะว่ายน้ำ อาจทำให้แก้วหูทะลุ หรือประสาทหูเสียหาย ส่งผลให้เกิดอาการหูอื้อ
  6. ภาวะน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s Disease) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการมีน้ำสะสมในหูชั้นในมากเกินไป ผู้ป่วยมีอาการหูอื้อ บ้านหมุน การได้ยินลดลง
  7. เกิดจากอาการของโรค เช่น โรคโลหิตจาง โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
อาการหูอื้อกับหูดับข้างเดียว ต่างกันยังไง | รู้ใจประกันภัย

สังเกตหน่อย แบบนี้ใช่อาการหูอื้อมั้ย?

หากไม่แน่ใจว่าอาการที่กำลังเป็นอยู่ใช่ลักษณะ เรามีวิธีสังเกตสัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณกำลังมีอาการหูอื้อ ดังนี้

  • ได้ยินเสียงรอบตัวเบาลงกว่าปกติ เช่น ฟังคนพูดแล้วเหมือนเสียงเบา อู้อี้ ต้องเพ่งฟัง
  • รู้สึกเหมือนมีอะไรอุดในหู เช่น เหมือนน้ำเข้าหู, หูอืด ๆ หนัก ๆ, คล้ายเอานิ้วอุดไว้
  • ปิดหูแล้วได้ยินเสียงผิดปกติในหู เช่น เสียงจี่ เสียงหึ่ง เสียงลมหรือเสียงลั่นในหู

Tips: อาการแบบไหนไม่ใช่หูอื้อข้างเดียว

หากคุณมีอาการต่อไปนี้ อาจเป็นอาการของ “โรคหูดับ” ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะหากรักษาช้า อาจสูญเสียการได้ยินถาวร โดยอาการมีดังนี้

  • สูญเสียการได้ยินเฉียบพลัน ซึ่งมักจะหูดับข้างเดียว
  • มีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น ปิดหูแล้วได้ยินเสียงดังในหู
  • ไม่สามารถหายเองหรือดีขึ้นภายใน 1 วัน

อาการหูดับเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ใช่แค่การเป็นไข้หูดับเท่านั้น ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ทันที

แก้อาการหูอื้อข้างเดียวด้วยตัวเองยังไง?

หากคุณมีอาการหูอื้อข้างเดียวและสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุไม่ร้ายแรง เช่น ความดันเปลี่ยน หรือหวัด ภูมิแพ้ สามารถลองทำวิธีบรรเทาอาการหูอื้อด้วยตัวเองได้ดังนี้

  1. เคี้ยวหมากฝรั่ง / กลืนน้ำลาย / หาว วิธีนี้จะช่วยเปิดหลอดยูสเตเชียน (Eustachian tube) เพื่อปรับแรงดันในหู เหมาะสำหรับคนที่เกิดอาการหูอื้อจากขึ้นเครื่องบิน ดำน้ำ หรือขึ้นที่สูง
  2. วิธีบีบจมูกเป่าลมเบา ๆ วิธีนี้ทำโดยการเอามือปิดปากและจมูกให้สนิท จากนั้นพยายามเป่าลมออกทางจมูกเบา ๆ เน้นย้ำว่า “เบา ๆ” ถ้าทำถูกจะได้ยินเสียง “ป๊อบ” ในหู ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงดันกลับมาปกติ โดยวิธีนี้ควรทำอย่างระมัดระวัง
  3. ลดใช้หูฟัง / หลีกเลี่ยงเสียงดัง เพื่อให้หูได้พักฟื้น เพราะหูอื้อบางครั้งเกิดจากหูล้าหรือเสียงดังเกินไป
  4. กินยาแก้แพ้หรือยาแก้คัดจมูก สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ หวัด หรือไซนัสอักเสบ
  5. ห้ามแคะหูด้วยสำลีพันก้าน! บางคนอาจรู้สึกว่าลองแคะดูดีกว่า แต่รู้มั้ย การทำแบบนี้อาจยิ่งดันขี้หูลึกและอุดตันมากขึ้น ถ้าสงสัยว่าขี้หูตัน ให้ไปคลินิกเพื่อให้แพทย์ดูดออกหรือใช้น้ำล้างจะดีและปลอดภัยกว่า
เมื่อไหร่ที่ควรพบแพทย์หากเกิดอาการหูอื้อ | รู้ใจประกันภัย

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?

วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาคือไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าเกิดจากอะไร และรักษาอย่างถูกต้อง โดยหากเกิดอาการหูอื้อข้างเดียว ควรไปพบแพทย์เมื่อเกิดอาการดังนี้

  • มีอาการหูอื้อนานเกิน 1-2 วันโดยไม่ดีขึ้นเลย
  • มีอาการหูอื้อร่วมกับอาการบ้านหมุนหรือเวียนหัว
  • มีอาการหูอื้อร่วมกับการได้ยินลดลงอย่างเฉียบพลัน
  • มีไข้หรือของเหลวไหลออกจากหู
  • เคยมีความเสี่ยง เช่น ดำน้ำ หรือได้รับการกระแทกที่หู

วิธีป้องกันอาการหูอื้อ มีอะไรบ้าง?

สามารถทำได้ด้วยกันหลายวิธี โดยวิธีที่ถูกต้อง เหมาะสมที่เรารวบรวมมาให้ มีทั้งหมด 6 วิธีด้วยกัน ถ้าไม่อยากหูอื้อข้างเดียว ทําไงได้บ้าง ทำตามวิธีดังนี้

  1. รักษาสุขอนามัยของหู ด้วยการทำความสะอาดหูอย่างถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ
  2. อย่าใช้ก้านสำลีแคะ หรือพยายามดันขี้หู ให้ใช้สำหรับเช็ดทำความสะอาดรอบ ๆ หู
  3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ ลดเครียด เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ลดสาเหตุหูอื้อจากอาการของโรค เช่น ไซนัส หวัด น้ำในหูไม่เท่ากัน
  4. หลีกเลี่ยงเสียงดังจัด เช่น คอนเสิร์ต, ผับ, หรือการทำงานในอุตสาหกรรมเครื่องจักรใหญ่ที่เสียงดังเป็นเวลานาน หากต้องทำงานและเลี่ยงไม่ได้ให้ใส่เครื่องป้องกันตามมาตรฐานโดยไม่ควรละเลยเด็ดขาด
  5. ตรวจหูเป็นระยะ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือคนมีปัญหาเรื่องการได้ยิน เพื่อเฝ้าระวังการเสื่อมของประสาทหูหรือโรคหูต่าง ๆ
  6. ใส่ที่อุดหูสำหรับว่ายน้ำเพื่อป้องกันน้ำเข้าหูขณะว่ายน้ำหรืออาบน้ำ

หากอาการหูอื้อไม่ดีขึ้นภายใน 1 วัน หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือมีอาการของโรคหูดับ แนะนำให้เดินทางไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาทันที เพราะบางครั้งการชะล่าใจหาวิธีแก้หูอื้อหรือแก้อาการหูอื้อข้างเดียวอาจสายเกินไป ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการได้ยินและไม่สามารถหายหรือดีขึ้นได้ภายใน 1 วันควรรีบมาปรึกษาแพทย์ทันที

สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประกันภัยต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)

คำจำกัดความ

เฉียบพลัน อาการของโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรง
สุขอนามัย การดูแลรักษาความสะอาดและสุขภาพของร่างกายและสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพที่ดี
วินิจฉัย การที่แพทย์ตรวจสอบอาการของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย หรือผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อระบุว่าเป็นโรคอะไร
previous article
< บทความก่อนหน้า

เช็คสัญญาณเตือนมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ และการรักษา