
อาการหูอื้อ เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับใครหลายคน เช่น เกิดตอนขึ้นเครื่องบิน น้ำเข้าหู อยู่บนที่สูง เป็นหวัดหรือไซนัสอักเสบ ไม่ว่าจะหูอื้อข้างเดียวหรือสองข้าง บทความนี้จะบอกวิธีบรรเทาอาการหูอื้อ สาเหตุของอาการหูอื้อ ไปจนถึงเรื่องที่ควรรู้ที่สุดคือเมื่อไหร่ที่เราควรไปพบแพทย์ อาการที่เป็นคือหูอื้อหรือหูดับ เพราะการชะล่าใจอาจนำไปสู่ความเสี่ยงที่ไม่คาดคิด
สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!
- อาการหูอื้อ คืออะไร?
- อาการหูอื้อข้างเดียว เกิดจากอะไร?
- สังเกตหน่อย แบบนี้ใช่อาการหูอื้อมั้ย?
- แก้อาการหูอื้อข้างเดียว ด้วยตัวเองยังไงได้บ้าง?
- เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?
- วิธีป้องกันอาการหูอื้อ มีอะไรบ้าง?
อาการหูอื้อ คืออะไร?
หูอื้อ คือ ภาวะที่รู้สึกว่าการได้ยินเสียงลดลง หรือรู้สึกเหมือนมีบางอย่างอุดอยู่ในหู อาจเป็นข้างเดียวหรือทั้งสองข้างก็ได้ โดยคนที่มีอาการหูอื้อจะรู้สึกว่าเสียงรอบข้างเบากว่าปกติ หรือได้ยินเสียงผิดเพี้ยนไป เช่น เสียงอู้อี้ เสียงจี่ เสียงลมหรือเสียงน้ำไหลในหู โดยอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วขณะหรือกินเวลานานหลายวัน
อาการหูอื้อข้างเดียว เกิดจากอะไร?
อาการหูอื้อเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยหูอื้อข้างเดียวมักเป็นจากสาเหตุ เช่น ขี้หูอุดตัน หูชั้นกลางอักเสบสองข้างอาจเป็นจากหวัด ไซนัสอักเสบ หรืออายุ ด้านล่างสรุปเป็นประเด็นตัวอย่างสาเหตุของอาการหูอื้อ ดังนี้
- ขี้หูอุดตัน ขี้หูมีส่วนช่วยในการดักฝุ่นและป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่หูชั้นใน แต่ถ้ามีมากเกินไป อาจแข็งตัวและอุดช่องหู ทำให้เสียงเข้าไปไม่ถึงแก้วหู เกิดเป็นอาการหูอื้อ โดยเฉพาะถ้ามีการใช้สำลีก้านแคะหูบ่อย ๆ ซึ่งจะดันขี้หูลึกเข้าไปมากขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศ เกิดเมื่อความดันในหูชั้นกลางไม่เท่ากับความดันภายนอก เช่น ขึ้นหรือลงเครื่องบิน ดำน้ำลึก ขับรถขึ้นเขา เป็นต้น
- การติดเชื้อในหู เช่น หูชั้นกลางอักเสบ ทำให้มีของเหลวหรือน้ำหนองสะสมในหูชั้นกลาง แรงดันจากของเหลวทำให้หูอื้อ ปวดหู และบางครั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย
- ปัญหาที่เกี่ยวกับประสาทหูหรือการได้ยิน
- ความเสี่ยงจากอายุที่มากขึ้น ทำให้ประสาทหูเสื่อมอย่างช้า ๆ
- การฟังเสียงดังเป็นเวลานาน เช่น ทำงานในที่เสียงดัง หรือฟังเพลงผ่านหูฟังดังเกินไป
- การฟังเสียงดังมาก เป็นเวลาสั้น ๆ เช่น เสียงพลุ เสียงปืน ประทัด อาจทำให้เส้นประสาทหูเสื่อมเฉียบพลัน
- การบาดเจ็บของหูหรือศีรษะ เช่น การกระแทกแรง ๆ หรือแรงดันน้ำสูงขณะว่ายน้ำ อาจทำให้แก้วหูทะลุ หรือประสาทหูเสียหาย ส่งผลให้เกิดอาการหูอื้อ
- ภาวะน้ำในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s Disease) เป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการมีน้ำสะสมในหูชั้นในมากเกินไป ผู้ป่วยมีอาการหูอื้อ บ้านหมุน การได้ยินลดลง
- เกิดจากอาการของโรค เช่น โรคโลหิตจาง โรคแพ้ภูมิตัวเอง โรคไต โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง เป็นต้น
สังเกตหน่อย แบบนี้ใช่อาการหูอื้อมั้ย?
หากไม่แน่ใจว่าอาการที่กำลังเป็นอยู่ใช่ลักษณะ เรามีวิธีสังเกตสัญญาณที่บ่งชี้ว่าคุณกำลังมีอาการหูอื้อ ดังนี้
- ได้ยินเสียงรอบตัวเบาลงกว่าปกติ เช่น ฟังคนพูดแล้วเหมือนเสียงเบา อู้อี้ ต้องเพ่งฟัง
- รู้สึกเหมือนมีอะไรอุดในหู เช่น เหมือนน้ำเข้าหู, หูอืด ๆ หนัก ๆ, คล้ายเอานิ้วอุดไว้
- ปิดหูแล้วได้ยินเสียงผิดปกติในหู เช่น เสียงจี่ เสียงหึ่ง เสียงลมหรือเสียงลั่นในหู
Tips: อาการแบบไหนไม่ใช่หูอื้อข้างเดียว
หากคุณมีอาการต่อไปนี้ อาจเป็นอาการของ “โรคหูดับ” ซึ่งควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพราะหากรักษาช้า อาจสูญเสียการได้ยินถาวร โดยอาการมีดังนี้
- สูญเสียการได้ยินเฉียบพลัน ซึ่งมักจะหูดับข้างเดียว
- มีอาการร่วมอื่น ๆ เช่น ปิดหูแล้วได้ยินเสียงดังในหู
- ไม่สามารถหายเองหรือดีขึ้นภายใน 1 วัน
อาการหูดับเกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ใช่แค่การเป็นไข้หูดับเท่านั้น ดังนั้นหากมีอาการดังกล่าว ควรรีบพบแพทย์ทันที
แก้อาการหูอื้อข้างเดียวด้วยตัวเองยังไง?
หากคุณมีอาการหูอื้อข้างเดียวและสงสัยว่าเกิดจากสาเหตุไม่ร้ายแรง เช่น ความดันเปลี่ยน หรือหวัด ภูมิแพ้ สามารถลองทำวิธีบรรเทาอาการหูอื้อด้วยตัวเองได้ดังนี้
- เคี้ยวหมากฝรั่ง / กลืนน้ำลาย / หาว วิธีนี้จะช่วยเปิดหลอดยูสเตเชียน (Eustachian tube) เพื่อปรับแรงดันในหู เหมาะสำหรับคนที่เกิดอาการหูอื้อจากขึ้นเครื่องบิน ดำน้ำ หรือขึ้นที่สูง
- วิธีบีบจมูกเป่าลมเบา ๆ วิธีนี้ทำโดยการเอามือปิดปากและจมูกให้สนิท จากนั้นพยายามเป่าลมออกทางจมูกเบา ๆ เน้นย้ำว่า “เบา ๆ” ถ้าทำถูกจะได้ยินเสียง “ป๊อบ” ในหู ซึ่งเป็นสัญญาณว่าแรงดันกลับมาปกติ โดยวิธีนี้ควรทำอย่างระมัดระวัง
- ลดใช้หูฟัง / หลีกเลี่ยงเสียงดัง เพื่อให้หูได้พักฟื้น เพราะหูอื้อบางครั้งเกิดจากหูล้าหรือเสียงดังเกินไป
- กินยาแก้แพ้หรือยาแก้คัดจมูก สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ หวัด หรือไซนัสอักเสบ
- ห้ามแคะหูด้วยสำลีพันก้าน! บางคนอาจรู้สึกว่าลองแคะดูดีกว่า แต่รู้มั้ย การทำแบบนี้อาจยิ่งดันขี้หูลึกและอุดตันมากขึ้น ถ้าสงสัยว่าขี้หูตัน ให้ไปคลินิกเพื่อให้แพทย์ดูดออกหรือใช้น้ำล้างจะดีและปลอดภัยกว่า
เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?
วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาคือไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยว่าเกิดจากอะไร และรักษาอย่างถูกต้อง โดยหากเกิดอาการหูอื้อข้างเดียว ควรไปพบแพทย์เมื่อเกิดอาการดังนี้
- มีอาการหูอื้อนานเกิน 1-2 วันโดยไม่ดีขึ้นเลย
- มีอาการหูอื้อร่วมกับอาการบ้านหมุนหรือเวียนหัว
- มีอาการหูอื้อร่วมกับการได้ยินลดลงอย่างเฉียบพลัน
- มีไข้หรือของเหลวไหลออกจากหู
- เคยมีความเสี่ยง เช่น ดำน้ำ หรือได้รับการกระแทกที่หู
วิธีป้องกันอาการหูอื้อ มีอะไรบ้าง?
สามารถทำได้ด้วยกันหลายวิธี โดยวิธีที่ถูกต้อง เหมาะสมที่เรารวบรวมมาให้ มีทั้งหมด 6 วิธีด้วยกัน ถ้าไม่อยากหูอื้อข้างเดียว ทําไงได้บ้าง ทำตามวิธีดังนี้
- รักษาสุขอนามัยของหู ด้วยการทำความสะอาดหูอย่างถูกวิธีอย่างสม่ำเสมอ
- อย่าใช้ก้านสำลีแคะ หรือพยายามดันขี้หู ให้ใช้สำหรับเช็ดทำความสะอาดรอบ ๆ หู
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ พักผ่อนเพียงพอ ลดเครียด เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ลดสาเหตุหูอื้อจากอาการของโรค เช่น ไซนัส หวัด น้ำในหูไม่เท่ากัน
- หลีกเลี่ยงเสียงดังจัด เช่น คอนเสิร์ต, ผับ, หรือการทำงานในอุตสาหกรรมเครื่องจักรใหญ่ที่เสียงดังเป็นเวลานาน หากต้องทำงานและเลี่ยงไม่ได้ให้ใส่เครื่องป้องกันตามมาตรฐานโดยไม่ควรละเลยเด็ดขาด
- ตรวจหูเป็นระยะ โดยเฉพาะผู้สูงอายุหรือคนมีปัญหาเรื่องการได้ยิน เพื่อเฝ้าระวังการเสื่อมของประสาทหูหรือโรคหูต่าง ๆ
- ใส่ที่อุดหูสำหรับว่ายน้ำเพื่อป้องกันน้ำเข้าหูขณะว่ายน้ำหรืออาบน้ำ
หากอาการหูอื้อไม่ดีขึ้นภายใน 1 วัน หรือมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือมีอาการของโรคหูดับ แนะนำให้เดินทางไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาทันที เพราะบางครั้งการชะล่าใจหาวิธีแก้หูอื้อหรือแก้อาการหูอื้อข้างเดียวอาจสายเกินไป ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการได้ยินและไม่สามารถหายหรือดีขึ้นได้ภายใน 1 วันควรรีบมาปรึกษาแพทย์ทันที
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประกันภัยต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)
คำจำกัดความ
เฉียบพลัน | อาการของโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และรุนแรง |
สุขอนามัย | การดูแลรักษาความสะอาดและสุขภาพของร่างกายและสิ่งแวดล้อม เพื่อป้องกันโรคและส่งเสริมสุขภาพที่ดี |
วินิจฉัย | การที่แพทย์ตรวจสอบอาการของผู้ป่วย วิเคราะห์ข้อมูลจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย หรือผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อระบุว่าเป็นโรคอะไร |