
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาแน่ ๆ เมื่อตัดสินใจจอดรถในที่ห้ามจอด คือ รถโดนล็อคล้อ และต่อด้วยค่าปรับตามกฎหมายจราจร ไม่ใช่ว่าคิดอยากจะจอดตรงไหนก็จอด ไม่สนใจเส้นจราจร หรือความเดือดร้อนของผู้อื่น ทั้งเรื่องการจราจรติดขัดและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนน จึงเป็นที่มาของการออกมาตรการเอาจริงเกี่ยวกับการล็อคล้อ อย่างไรก็ตามบางคนอาจไม่เจตนาเพราะไม่รู้ว่าจอดรถไม่ได้ก็มี
เอาเป็นว่าเราไปดูกันในเรื่องโทษอัตราค่าปรับล็อคล้อ ว่าอยู่ที่เท่าไหร่ จ่ายที่ไหน และถ้าโดนล็อคล้อ จ่ายได้ถึงกี่โมง รวมทั้งวิธีจัดการกับปัญหาถ้ารถคุณเกิดโดนล็อคล้อ
สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!
- รถโดนล็อคล้อ เกิดจากความผิดอะไรบ้าง?
- หากรถโดนล็อคล้อต้องทำยังไง?
- สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด เมื่อรถโดนล็อคล้อมีอะไรบ้าง?
- โดนล็อคล้อ เสียค่าปรับเท่าไหร่?
- โดนล็อกล้อ จ่ายค่าปรับที่ไหน?
- โดนล็อกล้อ ไม่จ่ายค่าปรับจะเกิดอะไรขึ้น?
รถโดนล็อคล้อ เกิดจากความผิดอะไรบ้าง?
การที่รถของคุณจะโดนล็อคล้อได้นั้น เกิดได้จากความผิด 3 ประเด็นหลัก ๆ ดังต่อไปนี้
1. จอดในพื้นที่ประกาศใช้เครื่องล็อคล้อ
กรณีจอดรถโดยไม่มีเหตุอันสมควรในพื้นที่หรือถนนสายต่าง ๆ ที่ประกาศให้เป็นพื้นที่ใช้เครื่องมือบังคับล้อไม่ให้เคลื่อนย้ายรถ (เครื่องล็อคล้อ) หรือพื้นที่โดนล็อคล้อทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร หรือส่วนปกครองท้องถิ่น ตามระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เจ้าพนักงานจราจรสามารถทำการล็อคล้อรถคันดังกล่าวได้ทันที
2. จอดรถในพื้นที่ห้ามหยุดรถ
กรณีที่คุณจอดหรือหยุดรถให้พื้นที่ห้ามหยุดรถ จะส่งผลให้เกิดความไม่สะดวกในการใช้ถนนโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานจราจรสามารถออกใบสั่งจราจร และ/หรือทำการล็อคล้อได้ เนื่องจากถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 55 “ห้ามมิให้ผู้ขับขี่หยุดรถในพื้นที่หยุดรถ” โดยมีรายละเอียดพื้นที่ห้ามหยุดรถดังต่อไปนี้
- ห้ามหยุดรถบนทางเท้า
- ห้ามหยุดรถในทางร่วมทางแยก
- ห้ามหยุดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ
- ห้ามหยุดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร
- ห้ามหยุดรถในช่องเดินรถ เว้นแต่หยุดชิดขอบทางด้านซ้ายของทางเดินรถในกรณีที่ไม่มีช่องเดินรถประจำทาง
- ห้ามหยุดรถบนสะพานหรืออุโมงค์
- ห้ามหยุดรถในเขตที่มีเครื่องหมายจราจรห้ามหยุดรถ
- ห้ามหยุดรถในเขตปลอดภัย
3. จอดรถในที่ห้ามจอด
กรณีที่จอดรถในพื้นที่ห้ามจอดโดยไม่มีเหตุอันสมควร เจ้าพนักงานจราจรสามารถล็อคล้อรถคันที่จอดในบริเวณดังกล่าวได้ เนื่องจากมีความผิดตาม พรบ.การจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 57 “ห้ามมิให้ผู้ใดจอดรถในพื้นที่ห้ามจอดรถ” โดยมีรายละเอียดพื้นที่ห้ามจอดดังนี้
- ห้ามจอดรถบนสะพานหรืออุโมงค์
- ห้ามจอดรถในทางข้าม หรือในระยะ 3 เมตรจากทางข้าม
- ห้ามจอดรถบนทางเท้า
- ห้ามจอดรถในทางร่วมทางแยก หรือในระยะ 10 เมตรจากทางร่วมทางแยก
- ห้ามจอดรถในระยะ 3 เมตรจากท่อน้ำดับเพลิง
- ห้ามจอดรถในระยะ 10 เมตรจากที่ติดตั้งสัญญาณจราจร
- ห้ามจอดรถในระยะ 15 เมตรจากทางรถไฟผ่าน
- ห้ามจอดรถตรงปากทางเข้าออกของอาคารหรือทางเดินรถ หรือในระยะ 5 เมตรจากปากทางเดินรถ
- ห้ามจอดรถในที่คับขัน
- ห้ามจอดรถในระยะ 3 เมตรจากตู้ไปรษณีย์
- ห้ามจอดรถในระยะ 15 เมตรก่อนถึงเครื่องหมายหยุดรถประจำทาง และเลยเครื่องหมายไปอีก 3 เมตร
- ห้ามจอดรถซ้อนกันกับรถอื่นที่จอดอยู่ก่อนแล้ว
- ห้ามจอดรถในลักษณะกีดขวางการจราจร
- ห้ามจอดรถในเขตห้ามจอดรถที่มีเครื่องหมายจราจรกำกับ
- ห้ามจอดระหว่างเขตปลอดภัยกับขอบทาง หรือในระยะ 10 เมตรนับจากปลายสุดของเขตปลอดภัยทั้งสองข้าง
ต่อให้คุณไม่ได้จอดรถในที่ห้ามจอด จอดริมถนนที่สามารถจอดได้อย่างถูกต้อง แม้จะเลี่ยงโดนล็อคล้อ และไม่ต้องจ่ายค่าปรับเพราะทำผิดกฎจราจรได้ แต่ ‘อุบัติเหตุ’ ไม่สามารถเลี่ยงได้ 100% แถมยังมีโอกาสโดนรถคันอื่นเฉี่ยวชนกระจก หรือโดนชนท้ายได้เสมอ เพื่อความอุ่นใจที่มากกว่าแนะนำให้ซื้อประกันรถยนต์ติดรถเอาไว้ด้วย หากต้องการประกันที่คุ้มครองครอบคลุม ราคาสบายกระเป๋า สามารถเข้ามาเช็คราคาและเปรียบเทียบแผนประกันกับรู้ใจก่อนใครได้เลย
โดนล็อคล้อเพราะจอดผิดที่ผิดทาง ทำยังไง?
หากคุณนำรถไปจอดบริเวณที่มีป้ายห้ามจอด จอดกีดขวางการจราจร หรือจอดรถผิดกฎหมายอื่น ๆ ทั้งเจตนาและไม่เจตนา เจ้าพนักงานจราจรจะดำเนินคดีกับผู้ที่กระทำผิดกฎจราจร ดังนี้
- อันดับแรกให้ทำตรวจสอบใบค่าปรับที่เจ้าหน้าที่เขียนไว้ เพื่อดูข้อหา อัตราโทษปรับ และสถานีตำรวจในพื้นที่ที่กระทำความผิด โดยรายละเอียดเหล่านี้จะอยู่ที่ใบสั่งทั้งหมด
- ปรับขั้นต่ำ 500 บาท สำหรับพื้นที่ชานเมือง
- ปรับขั้นต่ำ 700 บาท ในพื้นที่เมือง
- กรณีจอดรถในที่ห้ามจอดปรับไม่เกิน 1,000 บาท (ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่)
- นำใบสั่งไปจ่ายค่าปรับที่สถานีตำรวจที่แจ้งตามใบค่าปรับ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจนำเครื่องล็อคล้อออก
Tips: สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาด เมื่อรถโดนล็อคล้อมีอะไรบ้าง?
ในช่วงเวลาเร่งรีบแล้วต้องมาเจอกับเหตุการณ์รถโดนล็อคล้อ เชื่อว่าหลายคนอาจเกิดอาการหัวเสียขึ้นมานิด ๆ (แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าเป็นความผิดของตัวเอง) แต่ไม่ว่าจะหงุดหงิด หรือรีบแค่ไหน อย่าได้คิดทำสิ่งต่อไปนี้เมื่อโดนล็อคล้อเด็ดขาด
1. ถอดล้อรถออกแล้วใส่ล้อใหม่แทน
หรือทำลายเครื่องล็อคล้อจนเกิดความเสียหาย พฤติกรรมแบบนี้ถือว่าทำผิดทางกฎหมายตาม พรบ.การจราจรทางบก มาตรา 59 ข้อหาเคลื่อนย้ายรถที่เจ้าพนักงานจราจรได้ใช้เครื่องมือบังคับมิให้เคลื่อนย้ายโดยไม่ได้รับอนุญาต มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
2. จอดรถทิ้งไว้
บางคนอาจมองว่าไหน ๆ รถโดนล็อคล้อไปแล้ว เคลื่อนย้ายไปไหนก็ไม่ได้ แถมรีบอีกต่างหากก็จอดทิ้งไว้สัก 2-3 วันไปก่อนละกัน บอกไว้เลยว่าการจอดรถทิ้งไว้นาน ๆ ทั้ง ๆ ที่โดนล็อคล้ออยู่ นอกจากเจ้าพนักงานจราจรจะไม่มาปลดล้อให้แล้ว ยังจะนำรถมาลากรถของคุณไปไว้ที่สถานีตำรวจ และอาจโดนโทษปรับแพงขึ้นกว่าเดิมด้วย
โดนล็อคล้อ เสียค่าปรับเท่าไหร่?
ถ้าหากรถโดนล็อคล้อโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากจอดรถในที่ห้ามจอด หรือในที่ห้ามหยุด จะต้องชำระโดนล็อคล้อ ค่าปรับ 2 ส่วน ดังนี้
1. ค่าปรับจราจร
เจ้าของรถที่โดนล็อคล้อต้องจ่ายค่าปรับจราจรจากการจอดรถในที่ห้ามจอด หรือบริเวณที่มีป้ายห้ามจอด (มาตรา 55) หรือหยุดรถ (มาตรา 57) ซึ่งมีความผิดตาม พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 148 มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท
รายการสั่งปรับจอดรถในที่ห้ามจอดหรือห้ามหยุดรถ จะแสดงอยู่ในใบสั่งสีขาว ซึ่งอัตราค่าปรับล็อคล้อรถยนต์ข้างต้น จะแบ่งสัดส่วนการนำส่งเงินให้หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
- 50% นำส่งเข้าส่วนปกครองท้องถิ่นหรือกรุงเทพมหานคร
- 2.5% นำส่งเงินให้กับกระทรวงการคลัง
- 47.5% เป็นรางวัลนำจับของเจ้าหน้าที่จราจร
2. ค่าเครื่องมือบังคับล้อ
เจ้าของรถหรือผู้ขับขี่ที่รถโดนล็อคล้อ ต้องชำระค่าใช้จ่ายการใช้เครื่องมือบังคับไม่ให้เคลื่อนย้าย หรือค่าเครื่องล็อคล้อเพื่อทำการปลดล็อคล้อ ไม่เกินคันละ 500 บาท ตาม พ.ร.บ.การจราจรทางบก พ.ศ2522 มาตรา 148 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติจราจรทางบก (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2535 หรือตามที่มีกำหนดไว้ในกฎกระทรวง
รายการค่าปรับเครื่องล็อคล้อหรือโดนล็อคล้อจะแสดงในใบสั่งสีฟ้า โดยค่าเครื่องล็อคล้อจัดอยู่ในกลุ่มค่าปรับจราจรที่ไม่ต้องนำส่งกระทรวงการคลัง แต่ให้นำมาเป็นค่าใช้จ่ายและค่าอุปกรณ์ด้านจราจรในการดำเนินการล็อคล้อ หรือเคลื่อนย้ายรถ (ยกรถ) ตามระเบียบที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติกำหนดต่อไป
โดนล็อกล้อ จ่ายค่าปรับที่ไหน?
สามารถชำระค่าปรับใบสั่งล็อคล้อได้ ภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบสั่ง ตามวันและเวลาราชการ หรือตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีเลือกชำระค่าปรับด้วยตัวเองที่สถานีตำรวจที่เป็นผู้ออกใบสั่ง ทั้งนี้ยังสามารถจ่ายค่าปรับรถโดนล็อคล้อจากช่องทางที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกำหนดไว้ได้อีกด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้
- สถานีตำรวจหรือหน่วยงานที่ออกคำสั่ง
- สถานีตำรวจอื่น ๆ นอกเหนือจากสถานีตำรวจที่ออกใบสั่งทั่วประเทศไทย
- จ่ายด้วยธนาณัติหรือตั๋วแลกเงินของธนาคาร
- ธนาคาร
- เครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติ (ATM)
- หน่วยบริการรับชำระเงิน
- ไปรษณีย์ทุกสาขา
โดนล็อกล้อ ไม่จ่ายค่าปรับจะเกิดอะไรขึ้น?
หากไม่จ่ายค่าปรับภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในใบสั่ง เจ้าพนักงานจราจรสามารถสั่งเคลื่อนย้าย หรือยกรถของผู้กระทำความผิดที่ไม่ดำเนินการจ่ายค่าปรับ ไปยังพื้นที่ดูแลรักษาของสถานีตำรวจ
ซึ่งเจ้าของรถต้องชำระค่าปรับ ค่าใช้เครื่องมือล็อคล้อ ค่าเคลื่อนย้าย และค่าดูแลรักษารายวัน ในระหว่างที่รถอยู่ในความครอบครองของเจ้าหน้าที่ให้ครบถ้วน ถึงจะสามารถรับรถคืนได้ หากพ้นระยะเวลา 3 เดือน เจ้าของรถที่โดนล็อคล้อยังไม่จ่ายค่าปรับ และค่าดูแลรักษาทั้งหมดให้เรียบร้อย เจ้าพนักงานจราจรมีอำนาจในการนำรถคันดังกล่าวขายทอดตลาด เพื่อนำไปหักค่าใช้จ่ายและค่าดูแลรักษาที่ค้างชำระไว้
จากข้อมูลที่เรารวบรวมมาให้ ทั้งอัตราค่าปรับล็อคล้อ โดนล็อคล้อ จ่ายที่ไหน และโดนล็อคล้อ จ่ายได้ถึงกี่โมง จะเห็นได้ว่าการที่รถโดนล็อคล้อไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยหากคุณเมินเฉย ไม่ยอมไปจ่ายค่าปรับให้เรียบร้อย เพราะเรื่องราวอาจบานปลายจนถึงขั้นรถคู่ใจถูกขายทอดตลาด ถ้าจะให้ดีแนะนำให้สังเกตป้ายห้ามจอดให้ดีก่อนเสมอ เพื่อเลี่ยงการโดนล็อคล้อและค่าปรับที่จะตามมา
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประกันภัยต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)
คำจำกัดความ
ทางเดินรถ | พื้นที่ที่ทําไว้สําหรับการเดินรถไม่ว่าในระดับพื้นดิน ใต้หรือเหนือพื้นดิน |
ช่องเดินรถ | ทางเดินรถที่จัดแบ่งเป็นช่องสำหรับการเดินรถ โดยทำเครื่องหมายเป็นเส้นหรือแนวแบ่งเป็นช่องไว้ |
ช่องเดินรถประจำทาง | ช่องเดินรถที่กำหนดให้เป็นช่องเดินรถสำหรับรถโดยสารประจำทางหรือรถบรรทุกคนโดยสารประเภทที่อธิบดีกำหนด |
เขตปลอดภัย | เส้นที่แสดงพื้นที่ปลอดภัย เพื่อให้คนเดินเท้าสามารถข้ามหรือหยุดรอเพื่อที่จะข้ามต่อไปได้ |