Roojai

รถไฟฟ้า EV vs รถน้ำมัน คันไหนที่ใช่สำหรับคุณ?

Article Roojai Verified
เทียบหมัดต่อหมัด รถไฟฟ้า EV vs รถน้ำมัน | รู้ใจประกันภัย

เมื่อถึงจุดที่วันนี้รถไฟฟ้าเป็นที่ยอมรับจากผู้ใช้งานคนไทยมากขึ้น ความหนักใจในการเลือกระหว่าง รถไฟฟ้า vs. รถน้ำมัน จึงเป็นประเด็นที่หลายคนกำลังคิดอย่างจริงจังสำหรับคำตอบสุดท้ายของรถคันต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าใช้จ่าย การดูแลรักษา ราคาขายต่อ หรือความสะดวกในการใช้งาน รถทั้ง 2 ประเภทมีข้อดีและข้อเสียต่างกัน รู้ใจจะพาเจาะลึกทั้งสองประเภท เพื่อให้คุณสามารถเลือกคันที่เหมาะสมกับคุณมากที่สุด จะมีอะไรบ้างตามไปดูกันเลย

รถไฟฟ้า vs. รถน้ำมัน เลือกอ่านบางหัวข้อได้เลย!
  1. พลังงานที่ใช้
  2. การปล่อยมลพิษ
  3. ค่าบำรุงรักษา
  4. ค่าใช้จ่ายต่อการใช้งาน
  5. เสียง สมรรถนะ และการขับขี่
  6. ระยะทางต่อการชาร์จ / เติมน้ำมัน
  7. สถานีชาร์จและปั๊มน้ำมัน
  8. ราคาซื้อ
  9. ราคาขายมือสอง

การเลือกซื้อรถยนต์มักจะต้องพิจารณาหลายปัจจัย โดยเฉพาะข้อดีของรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์น้ํามัน ซึ่งแต่ละประเภทมีลักษณะการใช้งานที่ต่างกัน ลองมาดูการเปรียบเทียบรถไฟฟ้ากับรถน้ำมันในแต่ละจุด แบบหมัดต่อหมัด ดังนี้

1. พลังงานที่ใช้

รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

รถยนต์ไฟฟ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ ต้องชาร์จไฟก่อนใช้งาน

  • ชาร์จได้ที่สถานีชาร์จ ส่วนใหญ่เป็นแบบ DC ชาร์จเร็ว ใช้เวลาประมาณ 30 นาที แต่การชาร์จเร็วบ่อย ๆ อาจทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้นจึงเหมาะกับการชาร์จเมื่อจำเป็น และบางครั้งต้องต่อคิวรอชาร์จ
  • ถ้าติดตั้งเครื่องชาร์จที่บ้านจะสะดวกกว่า เพราะสามารถเสียบชาร์จตอนกลางคืน แม้จะใช้เวลาหลายชั่วโมง (ขึ้นอยู่กับกำลังไฟ) แต่ตื่นเช้ามาก็พร้อมขับต่อได้เลย
รถยนต์ใช้น้ำมัน

รถยนต์แบบดั้งเดิมใช้พลังงานจากน้ำมันเบนซินหรือดีเซล ใช้เวลาเติมเร็วกว่า แค่ 3–5 นาที สามารถเติมแล้วขับต่อได้ทันที จึงสะดวกมากเมื่อเดินทางไกล หรือในสถานการณ์ที่ต้องประหยัดเวลา

2. การปล่อยมลพิษ

รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีท่อไอเสีย ดังนั้นจึงไม่ปล่อยควันหรือมลพิษทางอากาศออกสู่บรรยากาศในขณะใช้งาน ซึ่งต่างจากรถยนต์ใช้น้ำมันที่มีการเผาไหม้เชื้อเพลิงและปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) รวมถึงก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ ออกมาโดยตรง การเลือกใช้ EV จึงช่วยลดปริมาณมลพิษในเมือง และหากแหล่งที่มาของไฟฟ้าเป็นพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์หรือพลังงานลม ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อมจะยิ่งมากขึ้น รถ EV จึงเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า

3. ค่าบำรุงรักษา

รถยนต์ไฟฟ้า

รถยนต์ไฟฟ้าใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อน จึงไม่ต้องใช้น้ำมันเครื่องเพื่อหล่อลื่นเหมือนเครื่องยนต์สันดาป ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องหรือไส้กรองเป็นประจำ ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการเข้าศูนย์บริการทุก 5,000–10,000 กม. และระบบขับเคลื่อนของ EV ไม่มีเครื่องยนต์แบบลูกสูบ ไม่มีชุดเกียร์หลายจังหวะ ไม่มีระบบท่อไอเสีย หรือระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ส่งผลให้มีความเสี่ยงต่อการสึกหรอหรือชำรุดน้อยลงตามไปด้วย การบำรุงรักษาจึงทำได้ง่ายและใช้เวลาไม่นาน

รถใช้น้ำมัน

เครื่องยนต์ต้องใช้น้ำมันเครื่องเพื่อหล่อลื่นชิ้นส่วนภายใน จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรอง และของเหลวอื่น ๆ ตามระยะที่กำหนด หากละเลยอาจทำให้เครื่องยนต์สึกหรอหรือเกิดความเสียหายได้

4. ค่าใช้จ่ายต่อการใช้งาน

รถยนต์ไฟฟ้า

ค่าไฟถูกกว่าค่าน้ำมันอย่างชัดเจน การชาร์จแบตเตอรี่หนึ่งครั้งสามารถขับได้หลายร้อยกิโลเมตร และถ้าชาร์จที่บ้านจะยิ่งประหยัดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังไม่มีค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันเครื่องหรือบำรุงรักษาระบบเชื้อเพลิง ทำให้ต้นทุนการใช้งานระยะยาวต่ำกว่า

รถใช้น้ำมัน

มีค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิงสูงกว่า โดยเฉพาะการขับในเมืองที่รถติด ทำให้เกิดการเผาไหม้อย่างต่อเนื่องและกินน้ำมันมากขึ้น

ข้อดี-ข้อเสียของรถไฟฟ้า EV และรถน้ำมัน | รู้ใจประกันภัย

5. เสียง สมรรถนะ และการขับขี่

รถยนต์ไฟฟ้า

การขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าไม่มีเสียงเครื่องยนต์และมีแรงสั่นสะเทือนน้อย ช่วยให้ผู้ขับและผู้โดยสารรู้สึกสบายมากขึ้น มอเตอร์ไฟฟ้าส่งกำลังได้ทันทีที่เหยียบคันเร่ง จึงตอบสนองไว ไม่ต้องรอรอบเครื่องยนต์ ทำให้การออกตัวหรือเร่งแซงทำได้รวดเร็ว นอกจากนั้นบางรุ่นมีระบบ Autopilot เพิ่มประสบการณ์ขับขี่ใหม่ ๆ

รถใช้น้ำมัน

สมรรถนะขึ้นอยู่กับขนาดของเครื่องยนต์ (cc หรือแรงม้า) ยิ่งเครื่องยนต์ใหญ่และแรงม้ามาก ก็จะให้พละกำลังและการออกตัวที่ดีขึ้น และอาจดีกว่ารถไฟฟ้าด้วย แต่ถ้าเครื่องขนาดเล็กอาจตอบสนองช้ากว่าเมื่อเทียบกับ EV

ไม่ว่าสมรรถนะของรถไฟฟ้า vs. รถน้ํามัน จะมีข้อดีหรือแตกต่างกันแค่ไหน แต่อุบัติเหตุบนท้องถนนก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้อยู่ดี แต่หมดห่วงได้ด้วยประกันรถยนต์ และประกันรถยนต์ไฟฟ้าที่รู้ใจ ดูแลครบยันแบตรถยนต์ไฟฟ้า ปรับแผนความคุ้มครองตามใจ ซื้อง่ายผ่านเว็บ เช็คราคารู้ผลทันที

6. ระยะทางต่อการชาร์จ / เติมน้ำมัน

รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

โดยเฉลี่ยสามารถขับได้ประมาณ 300–500 กิโลเมตรต่อการชาร์จ 1 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดแบตเตอรี่ รุ่นรถ ลักษณะเส้นทาง และพฤติกรรมการขับขี่ หากขับในเมืองที่จราจรติด EV มักทำระยะได้ดีขึ้นเพราะมีระบบชาร์จไฟกลับจากการเบรก (Regenerative Braking)

รถใช้น้ำมัน

น้ำมัน 1 ถังสามารถวิ่งได้ประมาณ 500–1,000 กิโลเมตร โดยขึ้นอยู่กับขนาดถังน้ำมันและความประหยัดของรถแต่ละรุ่น ทำให้สามารถเดินทางต่อเนื่องได้ไกลกว่าโดยไม่ต้องหยุดพักบ่อย หากต้องเดินทางไกลบ่อย ๆ รถใช้น้ำมันจะยังได้เปรียบเรื่องจำนวนปั๊มน้ำมัน

7. สถานีชาร์จและปั๊มน้ำมัน

รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

สถานีชาร์จไฟฟ้ากำลังขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งตามห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน และจุดพักรถบนทางด่วน แต่ในบางพื้นที่หรือจังหวัดที่ยังไม่ใช่เขตเมืองอาจยังมีจุดชาร์จไม่ครอบคลุม จึงต้องวางแผนล่วงหน้าดี ๆ ก่อนว่าจะชาร์จที่ไหน โดยเฉพาะเมื่อต้องเดินทางไกล

รถใช้น้ำมัน

ปั๊มน้ำมันมีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วประเทศทั้งในตัวเมืองและต่างจังหวัด ทำให้เติมน้ำมันได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องวางแผนมากนัก และสามารถหาปั๊มได้เกือบทุกเส้นทางการเดินทาง

8. ราคาซื้อ

รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

ราคาซื้อโดยทั่วไปสูงกว่ารถใช้น้ำมันเล็กน้อย เนื่องจากต้นทุนของแบตเตอรี่ยังค่อนข้างสูง อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีมาตรการสนับสนุนจากหลายส่วน เช่น ลดภาษีจากภาครัฐ หรือโปรโมชันจากค่ายรถ ทำให้ราคาจับต้องได้มากขึ้น หลายรุ่นเริ่มมีราคาใกล้เคียงกับรถใช้น้ำมัน แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายสำหรับการติดตั้ง Wall Charge ที่ต้องเผื่อไว้ด้วย

รถใช้น้ำมัน

ราคาเริ่มต้นมักถูกกว่า โดยเฉพาะ Eco car เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความคุ้มค่าในงบประมาณเริ่มต้น ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายในการติดตั้งระบบชาร์จเพิ่มเติม

9. ราคาขายมือสอง

รถยนต์ไฟฟ้า (EV)

ราคาขายต่อของรถยนต์ไฟฟ้ายังมีการผันผวนสูง เนื่องจากตลาด EV มือสองในไทยเพิ่งเริ่มเติบโต และเทคโนโลยีแบตเตอรี่พัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้รุ่นใหม่ที่ออกมามักมีสเปกดีกว่าในราคาที่ถูกลง ส่งผลให้ราคามือสองของรุ่นก่อนตกลงเร็วกว่า นอกจากนี้ ผู้ซื้อรถมือสองมักกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ ทำให้การต่อรองราคามักลดลงมากกว่ารถใช้น้ำมัน

รถใช้น้ำมัน

มีความสามารถในการรักษามูลค่าที่ดีกว่า โดยเฉพาะแบรนด์ที่เป็นที่นิยมและมีตลาดรองรับ อะไหล่หาง่าย ศูนย์บริการมีจำนวนมาก และผู้ซื้อมั่นใจในค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา ทำให้ราคามือสองค่อนข้างนิ่งและไม่ตกเร็วเหมือน EV

รถไฟฟ้า vs. รถน้ำมัน แบบไหนสะดวกมากกว่า?

การใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวันมีความสะดวกสบาย ทั้งในเรื่องของการเติมน้ำมันและการชาร์จไฟฟ้า ซึ่งรถน้ำมันและรถไฟฟ้าก็ให้ความสะดวกต่างกันออกไป ดังนี้

  • รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่ ข้อดีคือความสะดวกในการชาร์จที่บ้าน แต่ข้อเสีย คือ หากคุณต้องเดินทางไกล อาจต้องคำนึงถึงสถานีชาร์จที่อาจจะไม่ครอบคลุม
  • รถน้ำมัน การเติมน้ำมันนั้นสะดวกและรวดเร็ว เพียงแค่เข้าปั๊มและเติมน้ำมัน ก็สามารถออกเดินทางได้ทันที แต่ก็ตามมาด้วยค่าน้ำมันที่สูงกว่าค่าไฟ

การเลือกรถไฟฟ้า vs. รถน้ำมัน ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคน หากคุณขับขี่ในเมืองและต้องการลดค่าใช้จ่ายระยะยาว รถไฟฟ้าอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม แต่หากคุณขับขี่ระยะทางไกลบ่อยครั้ง หรือหากความแรงของรถสำคัญรถน้ำมันอาจจะตอบโจทย์คุณมากกว่า

​​สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับ​ประกันภัย​ต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือ​เพิ่มเพื่อนทาง LINE​ ได้เลย (Official LINE ID: @roojai) 

คำจำกัดความ

ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Autopilot) รถยนต์ที่สามารถควบคุมการเร่ง การเบรก และการบังคับเลี้ยวได้เองโดยไม่ต้องอาศัยการควบคุมของมนุษย์
สมรรถนะ ความสามารถ (ใช้กับเครื่องยนต์)
previous article
< บทความก่อนหน้า

เปิด 5 สิ่งสำคัญ ที่ทำแล้วขายรถยนต์ได้ราคาดี