Roojai

รอบรู้ภาษีรถใหม่ต้อนรับปีลิง

ในปี 2559 นี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในวงการยานยนต์ไทย กับการเริ่มใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งจะคิดตามอัตราการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) แทนการคิดตามความจุกระบอกสูบแบบเดิม โดยมีหลักการว่า รถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อย จะเสียภาษีต่ำกว่ารถที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์มาก สอดคล้องกับการบังคับใช้ระบบป้ายข้อมูลรถยนต์ “ECO STICKER” ซึ่งแสดงข้อมูลอัตราสิ้นเปลือง และระดับการปล่อยไอเสีย

ผ่านมาผู้ผลิตรถยนต์บางค่ายจึงเสนอให้รัฐบาลชะลอการนำ “ราคาขายปลีกแนะนำ” มาใช้คำนวณภาษี เพราะกังวลผลกระทบจะเกิดขึ้น 2 เด้ง โดยนายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิตได้เปิดเผยถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “ในเรื่องนี้มีมติ ครม. มาตั้งแต่เมื่อ ธ.ค. 2555 บอกว่าโครงสร้างใหม่จะมีผล 1 ม.ค. 2559 ให้ผู้ประกอบการมีเวลาปรับตัว 3 ปี ขณะนั้นวงการผู้ผลิตรถยนต์ก็เห็นพ้องตามนโยบายรัฐที่ต้องการปรับปรุงไลน์การผลิตรถยนต์ให้มีประสิทธิภาพ ทั้งการใช้น้ำมัน และดูแลสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ถึงขณะนี้ถ้ายี่ห้อใด รุ่นไหนสามารถปรับปรุงได้ตามเกณฑ์ขั้นต่ำของการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) จะเสียภาษีอัตราเดิม เช่นเคยเสีย 30% ก็จะเสียเหมือนเดิม แต่ถ้าปรับปรุงไม่ได้ ก็จะเสียเพิ่มขึ้น 5% เดิมเสีย 30% ก็จะเป็น 35% แล้วมีบางรุ่นบางยี่ห้อถ้าเดิมเคยเสีย 40% แต่ถ้าสามารถปรับปรุงเครื่องยนต์ให้ค่า Co2 ออกมาต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ก็จะเสียอัตราลดลงเหลือ 35% ได้ อย่างไรก็ดี พวกรถอีโคคาร์ ที่ค่า Co2 ต่ำอยู่แล้ว จะไม่ได้รับผลกระทบ เสียเท่าเดิม คือ 17% ส่วนรถหรู หรือ ซูเปอร์คาร์ ปกติไม่คำนึงถึง Co2 อยู่แล้ว แต่ดูที่ความแรงเครื่องยนต์ เดิมเสีย 50% ต่อไปก็เสีย 50% เหมือนเดิม” ส่วนรายละเอียดอัตราภาษีรถแต่ละประเภท เมื่อเทียบกับการคิดแบบเก่าจะแตกต่างกันอย่างไร ลองมาเช็คภาษีรถดูกัน (ที่มากระทรวงการคลัง)

ในกลุ่มประเภทอีโคคาร์ เฟส 2 ภาษีถูกลงโครงสร้างภาษีสรรพสามิตใหม่ สนับสนุนรถยนต์ประหยัดพลังงานมาตรฐานสากล หรือ อีโคคาร์ เฟส 2 อย่างชัดเจน เพราะเป็นรถที่ประหยัดน้ำมัน ประหยัดค่าใช้จ่าย เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นรถที่เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันของคนไทย โดยรถยนต์โครงการ อีโคคาร์ เฟส 2 ที่ปล่อยไอเสียต่ำกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษีเพียง 14 % เท่านั้น แต่ถ้าเกิน จะเสีย 17 % เท่ากับ อีโคคาร์ เฟส 1

ซีดาน/เอสยูวี ไม่เกิน 2,000 ซีซี ภาษีขึ้น 3-10 %

รถยนต์นั่งในพิกัดนี้ ถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาด มีตั้งแต่ รถยนต์ระดับซับคอมแพคท์ จนถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมหลายรุ่น ที่หันมาใช้เครื่องยนต์ความจุน้อยลง รวมทั้งเอสยูวีบางรุ่นด้วยในอัตราภาษีเดิม รถยนต์ซับคอมแพคท์ ที่รองรับน้ำมัน E20 เช่น โตโยต้า วีออส, เชฟโรเล็ต โซนิค, ฟอร์ด เฟียสต้า จะเสีย 25 % แต่อัตราใหม่ รถเหล่านี้ถ้าปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะต้องเสียภาษีเพิ่มเป็น 30 % ส่วนรถบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85 เช่น ฮอนด้า แจ๊ซ จะเสีย 25% เท่าเดิม

รถยนต์คอมแพคท์ ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1,780-2,000 ซีซี และรองรับน้ำมัน E85 เช่น โตโยต้า อัลทิส (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), ฮอนด้า ซีวิค, เชฟโรเล็ต ครูซ (เฉพาะเครื่อง 1,800 ซีซี), มาสด้า 3 อัตราเดิมเสีย 22 % ส่วนอัตราใหม่ รุ่นที่ปล่อย CO2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียเพิ่มเป็น 25 % ส่วนรุ่นที่ปล่อยในพิกัด 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร เสียเพิ่มเป็น 30 % ส่วนรถที่รองรับน้ำมัน E20 จากเดิมเสีย 25 % ก็จะต้องเพิ่มเป็น 30 % หรือ 35 % ตามปริมาณการปล่อยไอเสีย

รถยนต์นั่งขนาดกลางและเอสยูวีหลายรุ่น ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาด 2.0 ลิตร เช่น โตโยต้า แคมรี่, ฮอนด้า แอคคอร์ด, ฮอนด้า ซีอาร์วี, นิสสัน เทียน่า, มาสด้า ซีเอ็กซ์-5 ฯลฯ มีทั้งรุ่นที่รองรับน้ำมัน E20 และ E85 ซึ่งถูกคิดภาษีอยู่ที่ 25 % และ 22 % ตามลำดับ รถระดับนี้ ส่วนใหญ่ยังคงปล่อยไอเสียในพิกัด 151-200 กรัมต่อกิโลเมตรอยู่ ดังนั้น จะเสียภาษี 35 % หรือ 30 % ขึ้นกับน้ำมันที่รองรับ

นอกจากนี้ รถยนต์ระดับพรีเมียม ตั้งแต่ขนาดซับคอมแพคท์ จนถึงขนาดกลางหลายรุ่น ก็จะถูกคิดภาษีเพิ่มขึ้นในอัตราเดียวกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณการปล่อยไอเสีย

ซีดาน/เอสยูวี 2,001-2,500 ซีซี ภาษีแพงขึ้น

ในพิกัดนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์นั่งและเอสยูวีขนาดกลาง รวมถึงรถยนต์ระดับพรีเมียมบางรุ่น  ซึ่งเดิมเสียภาษี 30 % และ 27 % ขึ้นอยู่กับว่ารองรับน้ำมัน E20 หรือ E85 ซึ่งเท่าที่สำรวจรถในตลาด พบว่า รถที่ใช้เครื่องยนต์ระดับนี้ จะปล่อยไอเสีย 151-200 กรัมต่อกิโลเมตร ดังนั้นจะถูกเพิ่มภาษีเป็น 35 % สำหรับรถที่รองรับน้ำมัน E20 และ 30 % สำหรับบางรุ่นที่รองรับน้ำมัน E85

ปิคอัพ ปล่อยไอเสียเกิน 200 กรัม/กิโลเมตร ต้องจ่ายเพิ่ม

ปิคอัพที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จะเสียภาษี 3 % สำหรับรุ่นไม่มีแค็บ 5 % สำหรับรุ่นมีแค็บ และ 12 % สำหรับรุ่น 4 ประตู แต่ถ้าปล่อยเกินจากนี้ จะเสียเพิ่มขึ้นเป็น 5 % 7% และ 15 % ตามลำดับ จากข้อมูลปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่มีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะส่งผลให้โดนขึ้นภาษีเกือบทุกรุ่น

พีพีวี จ่ายภาษีเพิ่ม

รถปิคอัพดัดแปลง หรือพีพีวี ที่ใช้เครื่องยนต์ขนาดไม่เกิน 3,250 ซีซี จากเดิมเสียภาษี 20 % ทุกรุ่น ในอัตราใหม่จะเพิ่มเป็น 25 % สำหรับรถที่ปล่อยไอเสีย ไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร และ 30 % สำหรับรถที่ปล่อยไอเสียเกิน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ส่วนใหญ่นั้นยังมีค่าไอเสียเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร หมายความว่า ในปี 2559 นี้รถพีพีวี จะเสียภาษีแพงขึ้นอีก 10 % แทบทุกรุ่น

ไฮบริด เสียเท่าเดิม ภายใต้เงื่อนไขใหม่

ในโครงสร้างภาษีเดิม รถยนต์ไฮบริดทุกรุ่นที่ใช้เครื่องยนต์ไม่เกิน 3,000 ซีซี จะเสียภาษี 10 % เท่ากัน แต่ภาษีใหม่ จะต้องเป็นรถยนต์ไฮบริดที่ปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น จึงจะเสียอัตราเดิมที่ 10 % ถ้ามากกว่านั้น ภาษีจะเพิ่มเป็น 20 % จากข้อมูลช่วงต้นปี 2015 พบว่า รถยนต์ไฮบริดหลายรุ่นปล่อยไอเสียไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร เช่น โตโยต้า พรีอุส, ฮอนด้า แอคคอร์ด ไฮบริด, เมอร์เซเดส-เบนซ์ ตระกูลบลูเทคไฮบริดเกือบทุกรุ่น, พอร์ช คาเยนน์ เอส อี-ไฮบริด แต่ก็ยังมีบางรุ่น ที่ปล่อยไอเสียมากกว่า 100 กรัมต่อกิโลเมตร ซึ่งจะต้องเสียภาษีเพิ่ม เช่น เมอร์เซเดส-เบนซ์ เอส 300 บลูเทค ไฮบริด และบีเอ็มดับเบิลยู ตระกูลแอคทีฟไฮบริดทั้งหมด

ใครมีแผนจะถอยรถใหม่ปีนี้ ควรศึกษาเช็คภาษีรถยนต์ใหม่นี้ก่อนก็จะช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น

เพราะเรารู้ว่าคุณรักรถมากแค่ไหน “รู้ใจ” จึงให้คุณเลือกซ่อมได้ตามอู่ซ่อมรถยนต์แนะนำของรู้ใจดอทคอม พร้อมรับประกันงานซ่อม นานสูงสุดถึง 12 เดือน