Roojai

ส่อง SUV ปี 2018 คันไหนคุ้มค่าน่าใช้ที่สุด

หลังจากช่วงใกล้สิ้นปีที่ผ่านมา ตลาดรถในเมืองไทยมีกระแสกลับมาคึกคักอีกครั้ง เห็นได้จากหลาย ๆ บริษัทรถยนต์ต่างพาเหรดเปิดตัวรถใหม่กันแบบไม่มีใครยอมใคร แน่นอนเมื่อย่างก้าวสู่ปีใหม่ ความคึกคักของตลาดยังคงแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะยานยนต์อเนกประสงค์ยังคงเป็นที่นิยมจากกลุ่มผู้ใช้ ซึ่งจะมีรถรุ่นไหนจากค่ายใดกันบ้าง ทีมงานรู้ใจเราก็มีรายละเอียดมาให้ดูเป็นข้อมูลสนับสนุนการตัดสินใจครับ

SUBARU XV ครอสส์โอเวอร์เอสยูวี เจเนอเรชั่น 2 จากค่ายดาวลูกไก่ ซึ่งมาพร้อมเทคโนโลยีที่เป็นไฮไลต์อย่าง ‘ซูบารุโกลบอล แพลทฟอร์ม’ SUBARU GLOBAL PLATFORM (SGP) ถูกพัฒนาใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่ความแข็งแกร่งและความปลอดภัย ผสานกับรูปลักษณ์การดีไซน์ทั้งภายในและภายนอกที่หรูหราโฉบเฉี่ยว รูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นด้วยไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ พร้อมหลอด LED โคมสีดำ เพิ่มอารมณ์สปอร์ตมากยิ่งขึ้น กระจังหน้ารูปทรงเหลี่ยมแบบเรขาคณิต เสริมด้วยไฟตัดหมอกที่กันชนหน้า ตกแต่งด้วยแถบสีดำบริเวณชายกันชน ไฟท้ายรูปทรงทันสมัย เพิ่มความสปอร์ตด้วยสปอยเลอร์พร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 และเสาอากาศแบบครีบฉลาม และเสริมขอบบังโคลน หรือโอเวอร์เฟนเดอร์ พร้อมติดตั้งราวแร็คหลังคา (สี SILVER) ส่วนล้อแม็กลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว สีดำ สีทูโทนที่แสดงถึงความแข็งแกร่งสไตล์เอสยูวี ห้องโดยสารออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์สไตล์สปอร์ต ใช้โทนสีดำให้อารมณ์สปอร์ต ตกแต่งด้วยสีเงินบริเวณคอนโซล เกียร์ และพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน 3 ก้าน พร้อมแพดเดิลชิฟท์ พร้อมจอแสดงผลมัลติฟังก์ชันแบบใหม่ พร้อมระบบนำทางเนวิเกเตอร์ เพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบ DUAL-ZONE

เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ (BOXER) บล็อคใหม่ล่าสุด FB20 สมดุลซ้าย/ขวาและมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำ พัฒนาแก้ไขชิ้นส่วนต่างๆ ไปถึงเกือบ 80%  ของชิ้นส่วนทั้งหมดในเครื่องยนต์เพื่อลดน้ำหนัก และจ่ายเชื้อเพลิงระบบฉีดเชื้อเพลิงแบบไดเรคอินเจคชัน 2.0 ลิตร กำลังอัดกระบอกสูบเพิ่มขึ้นเป็น 12.5:1 (เดิม 10.5:1) ให้พลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที (เดิม 150 แรงม้า ที่ 6,200รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รตน. (เดิม 4,200 รอบ/นาที) ให้กำลังเต็มสมรรถนะด้วยระบบควบคุมวาล์วแบบแอคทีฟ (AVCS: ACTIVE VALVE CONTROL SYSTEM) ทั้งไอดีและไอเสีย พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยเพิ่มแรงบิดช่วงรอบต่ำให้อัตราเร่งที่ดียิ่งขึ้น ระบบส่งถ่ายกำลังแบบอัตราทดต่อเนื่อง (CVT) ใหม่ แบบ 7 จังหวะ ทำตลาด 2 รุ่นย่อย 2.0i ราคา 1,159,000 บาท และรุ่น 2.0i-P ราคา 1,259,000 บาท

TOYOTA C-HR (Coupe High Rider) ยานยนต์ครอสโอเวอร์สุดล้ำรุ่นใหม่ล่าสุด ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอกย้ำแนวคิด Ever-Better Cars (การสร้างยนตกรรมที่ดียิ่งกว่า) ด้วยดีไซน์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากรูปทรงของเพชร ทำให้รูปลักษณ์ของ C-HR มีความเป็นเอกลักษณ์ สปอร์ต เฉียบคม โดดเด่นและเพียบพร้อมไปด้วย 4 เทคโนโลยีใหม่ เครื่องยนต์ระบบไฮบริดเจเนอเรชั่นใหม่ โครงสร้าง TNGA, Toyota Safety Sense และTelematics ที่สำคัญ Toyota C-HR ยังผสมผสานความอเนกประสงค์ของตัวรถเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า และสร้างประสบการณ์ใหม่ในการขับขี่ที่สนุกสนานและประทับใจ นอกจากนี้ TOYOTA C-HR ยังได้รับการพิสูจน์มาแล้วในยุโรปและสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นรถครอสโอเวอร์ที่มียอดขายสูงสุดในประวัติศาสตร์ด้วยยอดขายกว่า 260,000 คัน  เลือกเป็นเจ้าของ TOYOTA C-HR 4 รุ่น และ 6 สี สำหรับเครื่องยนต์ไฮบริด (Premium Red/Black Roof, Blue Metallic/Black Roof, Radiant Green Metallic/Black Roof, White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica) และ 3 สี สำหรับเครื่องยนต์เบนซิน (White Pearl Crystal, Metal Stream Metallic, Attitude Black Mica) ราคารุ่นเริ่มต้นไม่เกิน 1 ล้านบาท-รุ่นท็อป ราคาไม่เกิน 1,200,000 บาท

MAZDA CX-5 เอสยูวีใหม่ล่าสุด และเป็นเจเนอเรชันที่ 2 นับตั้งแต่มีการผลิตออกมาทำตลาด โดยรูปลักษณ์ได้ถูกออกแบบให้มีจุดศูนย์ถ่วงต่ำลงและถ่ายทอดภาพลักษณ์ของลำตัวรถทั้งหมดที่ยึดจับถนนอย่างดี ช่วยให้มีบุคลิกภาพที่ทรงพลังมากขึ้น ทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีขนาดกว้างขึ้น 10 มม. และยางได้ถูกวางตำแหน่งให้อยู่ใกล้กับมุมด้านนอกมากที่สุด ขณะที่โครงสร้างโดยรวมได้รับการปรับปรุงเพื่อให้ยางหน้าและหลังรองรับตัวถังได้อย่างเต็มที่ ส่วนของกระจังหน้าใช้รูปแบบ 3 มิติ Signature Wing IIIumination ทั้งหมดนี้รวมกับปีกสัญลักษณ์ที่เหมือนแกะสลักเพิ่มความลึกและการแสดงออกที่โดดเด่นยิ่งขึ้นทำให้หน้ารถดูสปอร์ตขึ้น CX-5 เป็นมาสด้ารุ่นแรกที่นำเอาเทคโนโลยี Optical Bonding มาใช้ในการเชื่อมต่อระหว่างจอ LED และระบบสัมผัส เป็นการช่วยลดการสะท้อนและแสดงภาพได้อย่างชัดเจน การติดตั้งจอแสดงผลที่ด้านบนของแผงหน้าปัดแทนตรงแผงกลางจะลดมุมมองต่ำลงจาก 23 องศา เป็น 15 องศา และทำให้มีส่วนช่วยลดการละสายตาของคนขับตอนขับรถ ทำตลาด 5 รุ่น 2 เครื่องยนต์ โดย SKYACTIV-G 2.0 (เบนซิน) แบ่งเป็น 3 เกรด 2.0C ราคา 1,290,000 บาท, 2.0S (ล้อ 17 นิ้ว) 1,400,000 บาท และ 2.0SP (ขับเคลื่อน 2WD ล้อ 19 นิ้ว) 1,530,000 บาท ส่วน SKYACTIV-D 2.2 (ดีเซล) มี 2 เกรด 2.2XD (ขับเคลื่อน 2 ล้อ 19 นิ้ว) 1,560,000 บาท และ 2.2XDL (i-Active  ขับเคลื่อน 4WD/ซันรูฟ) 1,770,000 บาท

New MG ZS ยานยนต์ที่จัดอยู่ในหมวดหมู่ของ B-SUV รูปลักษณ์ออกแบบด้วยแนวคิด ‘บริท ไดนามิค’ แผงเฉพาะแผงกระจังหน้าลายรังผึ้งสีดำ ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจาก MG E-motion Concept ผสมผสานกับไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ เปิด-ปิดอัตโนมัติ (เฉพาะรุ่น X) พร้อม Daytime Running Light ซึ่งทีมออกแบบเผยว่าได้รับแรงบันดาลใจจาก London Eye ส่วนไฟท้ายเป็นแอลอีดี ทิวบ์ โดดเด่นกับลูกเล่นของมือเปิดฝากระโปรงท้าย ที่ออกแบบให้เป็นชุดเดียวกับโลโก้เอ็มจี การเปิดก็เพียงใช้มือกดลงไปตรงมุมด้านบน ในส่วนของล้อแม็กเป็นขนาด 17 นิ้ว ลาย 5 ก้าน Octagon (รุ่น X) และขนาด 16 นิ้ว ลายก้านวาย (รุ่น C,D) จุดขายหลักก็คือระบบ i-Smart ซึ่ง MG โดยสามารถเข้าถึงการใช้งานได้ 3 รูปแบบ คือผ่านทางสมาร์ทโฟนด้วยแอปพลิเคชัน ซึ่งสามารถเช็ครายละเอียดต่าง ๆ ของรถหรือควบคุมการใช้งานของฟังก์ชั่นต่าง ๆ ได้ เช่น ปลดหรือล็อคประตู สั่งเปิด-ปิดแอร์ แจ้งเตือนความผิดปกติของรถ เช่น สถานะของเครื่องยนต์ แรงดันลมยาง ระบบเบรก เป็นต้น ที่สำคัญรองรับการสั่งการด้วยเสียงเป็นภาษาไทย ซึ่ง MG บอกเลยว่านี่คือครั้งแรกในโลก โดยสามารถควบคุมการเปิด-ปิดซันรูฟ เพิ่ม-ลดความแรงของพัดลมแอร์ เลือกสั่งเปลี่ยนเพลง รวมทั้งการเปิดกระจกฝั่งคนขับ      ขุมพลังเบนซิน 1.5 ลิตร พละกำลัง 114 แรงม้าที่ ตัวเครื่องยนต์มีการปรับปรุงจังหวะการจุดระเบิดใหม่ รวมทั้งเปลี่ยนชิ้นส่วนบางตัวให้มีน้ำหนักเบากว่าเดิมและปรับค่า Friction หรือเรียงเสียดทานให้น้อยลง อีกทั้งยังรองรับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ถึง E85 ผสานการทำงานด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อม Manual Mode ZS  ทำตลาด 3 รุ่น C ราคา  679,000 บาท, D 729,000 บาท และ X 789,000 บาท โดยลูกค้าที่ซื้อ MG ZS จะได้รับแพ็คเกจใช้งานระบบอัจฉริยะ i-SMART ฟรี เป็นระยะเวลา 5 ปี และได้รับความอุ่นใจกับการบริการแพสชั่น เซอร์วิส (Passion Service) ด้วยการรับประกันคุณภาพนาน 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน (Roadside Assistance) และศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ (MG Call Centre) ตลอด 24 ชั่วโมง รวมไปถึงบริการเช็คระยะนอกสถานที่ (Mobile Services)

BMW X3 xDrive20d xLine ใหม่ เจเนอเรชัน 3 สืบทอดเจตนารมณ์ของรถยนต์รุ่นก่อนหน้าด้วยการผสานรูปลักษณ์แข็งแกร่งแบบออฟโรดเข้ากับความสปอร์ต ส่วนหัวและท้ายรถที่สั้นลง เพื่อการกระจายน้ำหนักแบบ 50:50 ระหว่างเพลาหน้าและหลังอย่างสมบูรณ์แบบเสริมความดุดันยิ่งขึ้นด้วยกระจังหน้าไตคู่แบบหนา และไฟตัดหมอกแบบหกเหลี่ยมที่นำมาใช้เป็นครั้งแรกในรถยนต์ BMW ตระกูล X

เร้าใจด้วยเทคโนโลยี BMW TwinPower Turbo เครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบ เกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ Steptronic เครื่องยนต์อันทรงพลังให้กำลังสูงสุดที่ 140 กิโลวัตต์ / 190 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 400 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ภายใน 8 วินาที ก่อนที่จะพุ่งทะยานทำความเร็วสูงสุดที่ 213 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ด้านอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ที่ 17.6 กิโลเมตรต่อลิตร และอัตราการปล่อย CO2 ที่ 150 กรัมต่อกิโลเมตร ราคาจำหน่าย 3,699,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม และแพ็คเกจ BSI Standard)

หากเล็งจับจองคันไหนไว้แล้ว อย่าลืมเสริมความคุ้มครองให้รถสุดรักของคุณด้วยประกันแสนดีอย่าง “รู้ใจดอทคอม” ด้วยนะครับ