
ทุกวันนี้นี้ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือด ฯลฯ ‘โรคร้ายแรง’ ล้วนเป็นปัญหาสุขภาพที่ใกล้ตัวมากขึ้น และไม่มีใครอยากเป็น เพราะตามมาด้วยค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูงในการรักษา หากคุณเป็นอีกหนึ่งคนที่กำลังมองหาตัวเลือกดี ๆ อยากเปรียบเทียบประกันสุขภาพและประกันโรคร้ายแรง แต่ยังไม่เข้าใจดีนักว่าทั้งสองประเภทนี้ต่างกันยังไง จำเป็นต้องซื้อคู่กันหรือไม่? บทความนี้รวบรวมทุกคำตอบมาให้แล้ว
สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!
- โรคร้ายแรง คืออะไร?
- ประกันโรคร้ายแรง คืออะไร ทำไมถึงควรทำ?
- ประกันสุขภาพ คุ้มครองอะไรบ้าง?
- จำเป็นต้องซื้อประกันโรคร้ายแรง และประกันสุขภาพคู่กันมั้ย?
โรคร้ายแรง คืออะไร?
โรคร้ายแรง คือ โรคที่ต้องใช้เทคโนโลยีหรือเทคนิคการแพทย์แบบเฉพาะทางในการรักษา เนื่องจากเป็นโรคที่รักษาหายได้ยากกว่าโรคทั่วไป และต้องรักษาตัวต่อเนื่องเป็นเวลานาน นอกจากจะสร้างความเจ็บปวดให้กับร่างกายและจิตใจของผู้ป่วยแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการเงินของผู้ป่วยด้วย
ทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ให้คำนิยมโรคร้ายแรงไว้ทั้งหมด 50 โรค ซึ่งในประเทศไทยมีโรคร้ายแรงยอดฮิตทั้งหมด 5 โรค ดังนี้
- โรคมะเร็ง (Cancer)
- โรคหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Artery Disease : CAD)
- โรคหัวใจล้มเหลว (Congestive Heart Failure)
- โรคหลอดเลือดสมอง (Major Stroke)
- โรคไตวายเรื้อรัง (Chronic Kidney Failure)
ทั้งนี้ หลายคนที่อายุน้อย ๆ อาจมองว่าโรคร้ายแรงเป็นโรคไกลตัว แต่ในความเป็นจริงโรคดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้ง่าย ฉะนั้นการมีประกันโรคร้ายแรงหรือประกันสุขภาพติดเอาไว้ ก็ดูจะเป็นตัวเลือกที่เซฟมากที่สุด แต่จะต้องเลือกแบบไหนหรือเลือกทั้งคู่? ตามไปทำความเข้าใจกันต่อด้านล่าง
ประกันโรคร้ายแรง คืออะไร ทำไมถึงควรทำ?
ความหมายของประกันโรคร้ายแรง คือ แผนประกันที่ให้ความคุ้มครองเมื่อผู้เอาประกันตรวจพบโรคร้ายแรงตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ ซึ่งมีทั้งประกันที่คุ้มครองค่ารักษาตามจริง และประกันโรคร้ายแรงที่จ่ายเป็นเงินก้อนเมื่อตรวจพบ ตามปกติแล้วความคุ้มครองประกันโรคร้ายแรงแต่ละแผน จะระบุกลุ่มโรคแตกต่างกันตามเงื่อนไขของบริษัทประกันภัย
ทำไมถึงควรทำประกันโรคร้ายแรง
เหตุผลที่ควรทำประกันโรคร้ายแรง โดยเฉพาะ ‘ประกันมะเร็ง’ เป็นเพราะว่าปัจจุบันมีความเสี่ยงเกี่ยวกับโรคร้ายแรงมากมาย ดังนี้
- สภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง ทั้งฝุ่นควัน สารพิษ รวมถึงควันบุหรี่ที่ถูกนำเข้าร่างกายโดยไม่รู้ตัว
- มีพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สไตล์ต่าง ๆ รวมถึงอาหารการกิน
ด้วยความที่ประกันโรคร้ายแรงมีวงเงินประกันภัยสูง ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการรักษา และช่วยเพิ่มทางเลือกในการรักษาที่ดียิ่งขึ้น เครื่องมือที่ทันสมัย ผลข้างเคียงน้อยลง เจ็บปวดน้อยลง ที่สำคัญไม่ต้องนำเงินเก็บสำหรับการเกษียณมาใช้ในการรักษา ถือเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากวางแผนชีวิต
Tips: ประกันโรคร้ายแรงไม่คุ้มครองอะไรบ้าง?
ก่อนตัดสินใจทำประกันประเภทใด ๆ ก็ตาม นอกจากจะให้ความใส่ใจในเรื่องของรายละเอียดความคุ้มครองประกัน, เบี้ยประกันโรคร้ายแรงแล้ว ‘ข้อยกเว้น’ ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจด้วยเช่นกัน ซึ่งข้อยกเว้นที่ประกันโรคร้ายแรงไม่คุ้มครอง มีดังนี้
- ตรวจพบในระยะก่อนเริ่มมีผลคุ้มครอง หรืออยู่ในระยะเวลารอคอย 90 วัน
- เป็นโรคหรือความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิด และผู้เอาประกันทราบก่อนทำสัญญาอยู่แล้ว
- เกิดจากการก่ออาชญากรรมหรือทำผิดกฎหมาย
- เกิดจากการฆ่าตัวตาย หรือทำร้ายตัวเอง
- เกิดจากยาเสพติด หรือเมาสุราจนขาดสติ
ประกันสุขภาพ คุ้มครองอะไรบ้าง?
ในส่วนประกันสุขภาพ คือ การประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุโรคภัยไข้เจ็บ ไปจนถึงเกิดการบาดเจ็บเนื่องจากอุบัติเหตุจนต้องนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยประกันสุขภาพแต่ละแบบจะให้ความคุ้มครองแตกต่างกัน ดังนี้
1. ประกันสุขภาพส่วนบุคคล
เป็นประกันภัยที่ซื้อเพื่อคุ้มครองตนเอง สามารถเลือกและกำหนดความคุ้มครองที่ต้องการได้ โดยค่าเบี้ยประกันสุขภาพจะคำนวณตามอายุ และเพศของผู้เอาประกันเป็นหลัก ปัจจุบัน ‘ประกันสุขภาพแบบเหมาจ่าย’ ค่อนข้างได้รับความนิยม เพราะเป็นประกันสุขภาพที่ไม่กำหนดวงเงินค่ารักษาพยาบาลต่อครั้งแต่จะมีการกำหนดวงเงินค่ารักษาพยาบาลต่อปี
อธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ว่าภายในระยะเวลา 1 ปี ผู้เอาประกันสามารถเข้ารับการรักษากี่ครั้งก็ได้ ทางบริษัทประกันจะจ่ายค่ารักษาให้ตามจริง แต่ต้องไม่เกินจำนวนเงินเอาประกันและเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
2. ประกันสุขภาพกลุ่ม
เป็นประกันที่องค์กรหรือบริษัทต่าง ๆ ทำให้กับพนักงานของตนเอง เพื่อมอบเป็นสวัสดิการคุ้มครองค่ารักษาพยาบาล และหลักประกันให้กับพนักงานภายใต้กรมธรรม์เดียวกัน โดยความคุ้มครองประกันจะแตกต่างกันไปตามเงื่อนไขของแต่ละองค์กร
ไม่ว่าคุณจะซื้อประกันสุขภาพให้กับตัวเอง หรือได้รับสวัสดิการจากบริษัทที่ทำงานอยู่ ก็ล้วนเป็นเรื่องที่ดี เพราะนอกจากจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแล้ว ยังช่วยให้เข้าถึงการรักษาที่ดี แถมประกันสุขภาพบางประเภท ยังให้ความคุ้มครองกรณีโรคร้ายแรงอีกด้วย
จำเป็นต้องซื้อประกันโรคร้ายแรง และประกันสุขภาพคู่กันมั้ย?
ไม่จำเป็น เพราะการตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพหรือประกันโรคร้ายแรง ขึ้นอยู่กับความต้องการและสถานการณ์ทางการเงินของแต่ละบุคคล แต่ด้วยความที่ทั้งสองประเภทให้ความคุ้มครองที่ต่างกัน หากต้องการได้รับความคุ้มครองที่ครอบคลุม โดยเฉพาะคนที่ครอบครัวมีประวัติเกี่ยวข้องกับโรคร้ายแรง การเลือกซื้อประกันทั้งสองคู่กันก็เป็นตัวเลือกที่ดี
ในขณะเดียวกัน หากในช่วงเวลานี้สามารถเลือกซื้อประกันได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือมองว่าตัวเองยังไม่มีความจำเป็นต้องมีประกันโรคร้ายแรง อาจเริ่มต้นด้วยการซื้อประกันสุขภาพไปก่อน แล้วค่อยพิจารณาซื้อประกันโรคร้ายแรงในภายหลัง ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่น่าสนใจ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันมีปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคภัยต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้นการเตรียมความพร้อมด้วยการซื้อประกันสุขภาพ หรือซื้อประกันโรคร้ายแรงเอาไว้ ถือเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยให้คุณสามารถรับมือกับโรคต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี แนะนำให้เปรียบเทียบประกันสุขภาพ และประกันโรคร้ายแรงให้ดีก่อนตัดสินใจ เพื่อให้คุณได้รับแผนประกันที่ให้ความคุ้มครองตรงกับความต้องการมากที่สุด
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ สุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประกันภัยต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)
คำจำกัดความ
ระยะเวลารอคอย | ระยะที่บริษัทจะไม่จ่ายสินไหมทดแทนตามตารางกรมธรรม์สำหรับการปรากฎอาการ หรือได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคร้ายแรง ที่เกิดขึ้นในระยะเวลารอคอย 90 วันแรกหลังจากวันเริ่มต้นความคุ้มครอง |
สวัสดิการ | การให้สิ่งที่เอื้ออำนวยให้ผู้ทำงานมีชีวิตและสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและสะดวกสบาย เช่น มีสถานพยาบาล ให้ที่พักอาศัย จัดรถรับส่ง เป็นต้น |
ความผิดปกติที่มีมาแต่กำเนิด | ความบกพร่องระหว่างการเจริญขอทารกในครรภ์ อาจมีสาเหตุจากความผิดปกติทางพันธุกรรม สภาวะไม่เหมาะสมในมดลูก ความผิดปกติของการสร้างอวัยวะ หรือความผิดปกติของโครโมโซม |