
หนึ่งในโรคติดเชื้อไวรัสที่พบได้บ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน คือ ไข้เลือดออก ซึ่งเป็นโรคที่มี ‘ยุงลาย’ เป็นพาหะ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที สามารถทวีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ แล้วไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไร เกิดจากสาเหตุอะไร มีประกันไข้เลือดออกคุ้มครองหรือไม่ บทความนี้จะพาไปไขข้อสงสัยอย่างละเอียด
สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!
- ไข้เลือดออก เกิดจากอะไร?
- อาการของโรคไข้เลือดออก
- วิธีรักษาและป้องกันโรคไข้เลือดออก
- เป็นไข้เลือดออก ต้องนอนโรงพยาบาลมั้ย?
- Tips วิธีป้องกันไข้เลือดออก
- ประกันแบบไหนคุ้มครองโรคไข้เลือดออกบ้าง?
ไข้เลือดออก สาเหตุเกิดจากอะไร?
ไข้เลือดออกเกิดจาก “เชื้อไวรัสเด็งกี (Dengue virus)” มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ (DEN-1 ถึง DEN-4) มียุงลายบ้านและยุงลายสวนเป็นพาหะนำโรค สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ เมื่อยุงที่มีเชื้อกัดคน ไวรัสจะเข้าสู่กระแสเลือดและเริ่มทำให้เกิดอาการของโรคภายในไม่กี่วัน นอกจากนี้หากติดเชื้อซ้ำจนเป็นไข้เลือดออกครั้งที่สอง จากเชื้อต่างสายพันธุ์กับครั้งแรก อาการที่ปรากฏจะรุนแรงขึ้น
โรคไข้เลือดออก อาการเป็นอย่างไร?
อาการโรคไข้เลือดออกจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ไม่รวมไข้เลือดออกระยะฟักตัว (หากรวมจะนับเป็น 4 ระยะ) ระยะนี้เริ่มต้นทันทีหลังจากถูกยุงลายที่มีเชื้อกัด โดยไวรัสจะใช้เวลาฟักตัวในร่างกายประมาณ 4-10 วัน ปกติแล้วผู้ป่วยจะยังไม่แสดงอาการหรือมีอาการไม่รุนแรง คล้ายกับไข้หวัดธรรมดา และร่างกายจะเริ่มมีการตอบสนองต่อเชื้อที่เพิ่มจำนวนขึ้นภายในกระแสเลือด
ต้องบอกก่อนว่าผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเด็งกี ไม่จำเป็นต้องมีอาการไข้เลือดออกทุกคน ซึ่งปกติแล้วผู้ที่ได้รับเชื้อไวรัสเด็งกีจะมีเพียง 25-30% ที่จะมีอาการป่วยปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน โดยแต่ละระยะมีลักษณะอาการที่แตกต่างกันออกไปดังนี้
ระยะที่ 1: ระยะไข้สูง
เป็นช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน อาการไข้เลือดออกระยะแรกส่วนใหญ่จะมีไข้สูงเฉียบพลัน 39-40 องศาเซลเซียส เป็นระยะเวลาติดต่อกัน 2-7 วัน อาการที่พบบ่อย คือ ปวดศีรษะ หน้าแดง คลื่นไส้ อาเจียน ปวดเมื่อยตามตัว ปวดรอบกระบอกตา และกล้ามเนื้อ บางรายอาจมีอาการปวดข้อ หรือมีผื่นแดงขึ้นตามร่างกายร่วมด้วย ที่สำคัญอาการเหล่านี้ “ไม่ตอบสนองต่อยาลดไข้ทั่วไป”
ระยะที่ 2: ระยะวิกฤติ
เป็นระยะที่ต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด มักเกิดขึ้นในช่วงวันที่ 3-7 (นับจากระยะแรก) บางรายอาจมีอุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างรวดเร็ว เสี่ยงต่อภาวะช็อกจากการรั่วไหลของพลาสมา ส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดความดันโลหิตต่ำ หายใจลำบาก มือเท้าเย็น อ่อนเพลียรุนแรง และอาจมีเลือดออกผิดปกติ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ระยะที่ 3: ระยะฟื้นตัว
ระยะนี้อาการไข้เลือดออกจะค่อย ๆ ลดลงตามลำดับ ระบบไหลเวียนเลือดเริ่มกลับมาเป็นปกติ ไข้ลดลง ชีพจรและความดันโลหิตคงที่ ผู้ป่วยเริ่มมีอาการอยากอาหาร และมีปัสสาวะเพิ่มขึ้น บางรายอาจยังพบผื่นแดงเล็ก ๆ บริเวณผิวหนัง โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งเป็นสัญญาณว่าร่างกายกำลังเข้าสู่ระยะฟื้นตัวสมบูรณ์
รักษาและป้องกันโรคไข้เลือดออกยังไง?
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่รักษาโรคนี้โดยตรง แต่โรคไข้เลือดออก “สามารถรักษาให้หายได้” หากได้รับการดูแลที่เหมาะสม เช่น การให้สารน้ำหรือน้ำเกลืออย่างเพียงพอ และเฝ้าระวังอาการอย่างใกล้ชิด ที่สำคัญ ‘ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินหรือไอบูโพรเฟน’ เพราะอาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกได้
นอกจากนี้ยังมีภาวะแทรกซ้อนที่ต้องระวัง คือ ภาวะช็อก และภาวะเลือดออกผิดปกติ โดยเฉพาะในช่วงวันที่ 3-5 ของการป่วย ดังนั้นหากพบว่ามีอาการรุนแรง เช่น ไข้สูง อาเจียน ซึม มีจ้ำเลือดหรือจุดเลือดออกเล็ก ๆ ตามผิวหนังควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
เป็นไข้เลือดออก ต้องนอนโรงพยาบาลมั้ย?
ในช่วง 2 วันแรกของไข้ หากผู้ป่วยได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ไม่ว่าจะเป็นการดื่มน้ำด้วยตัวเอง หรือการให้สายน้ำทางหลอดเลือด (น้ำเกลือ) ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล เพราะยังไม่เข้าสู่ระยะวิกฤติ แต่ต้องติดตามอาการและตรวจนับเม็ดเลือด
แต่แพทย์จะพิจารณาให้นอนโรงพยาบาลทันที ถ้าหากเข้าเกณฑ์อันตราย หรือมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน ดังนี้
- ไข้ลด แต่อาการอื่น ๆ แย่ลง เช่น ซึม ปัสสาวะน้อย มือเท้าเย็น เป็นต้น
- เลือดออกผิดปกติ เช่น เลือดออกตามไรฟัน อาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ
- เด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุที่ติดตามอาการยาก
- ดื่มน้ำไม่ได้ มีอาการอาเจียนตลอด
- มีโรคประจำตัวอื่น ๆ ร่วมด้วย
Tips วิธีป้องกันไข้เลือดออก
เพื่อป้องกันอันตรายที่เข้ามาประชิดตัว รู้ใจได้รวบรวมวิธีป้องกันไข้เลือดออกมาให้ด้วยเช่นกัน ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 4 วิธี ดังนี้
- ป้องกันยุงกัด ใช้ยากันยุง นอนในมุ้ง หรือเปิดพัดลมเพื่อไล่ยุง
- กำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ปิดฝาภาชนะเก็บน้ำ เทน้ำที่ขังอยู่รอบบ้าน และเปลี่ยนน้ำในแจกัน (ถ้ามี) บ่อย ๆ
- สวมใส่เสื้อผ้ามิดชิด ลดโอกาสถูกยุงลายกัด โดยเฉพาะในช่วงเวลากลางคืน
- ฉีดวัคซีน ไข้เลือดออก เพื่อลดโอกาสเกิดอาการรุนแรงเมื่อได้รับเชื้อ
ประกันแบบไหนคุ้มครองโรคไข้เลือดออกบ้าง?
ไม่ว่าจะเป็นบัตรทอง, ประกันสังคม, ประกันสุขภาพ และประกันไข้เลือดออกก็คุ้มครอง โดยแต่ละแผนประกันจะให้ความคุ้มครองแตกต่างกันออกไป โดยแต่ละประเภทให้ความคุ้มครองครอบคลุมอะไรบ้าง ดังนี้
สิทธิบัตรทอง 30 บาท
คุ้มครองไข้เลือดออก 100% ตามสิทธิ์ที่คุณมี “ไม่เสียค่าใช้จ่าย” หากรักษาภายในหน่วยบริการประจำที่ลงทะเบียนไว้ โดยครอบคลุมทั้งค่าตรวจวินิจฉัย (รวมถึงการตรวจเลือดยืนยันว่าเป็นไข้เลือดออก), ค่ายา เวชภัณฑ์, ค่าหมอ พยาบาล, ค่าห้อง และค่ารักษาพยาบาลกรณีนอนโรงพยาบาล
นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ รักษาการเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า “ไข้เลือดออกถือเป็นโรคประจำถิ่นของประเทศไทย แต่ละปีจะมีผู้ป่วยประมาณ 2-3 หมื่นราย แต่บางปีจะมีผู้ป่วยเพิ่มมากขึ้นและมีภาวะรุนแรง โดยผู้ที่มีสิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) หากป่วยด้วยโรคไข้เลือดออก สิทธิประโยชน์การรักษานั้นจะครอบคลุมค่ารักษาทั้งหมด ที่มีการจัดสรรเป็นค่าเหมาจ่ายรายหัวไปยังโรงพยาบาลต่างๆ” (ที่มา: mgronline.com)
ประกันสังคม
คุ้มครองทั้งในกรณีรักษาแบบผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยใน โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมหากใช้สิทธิในโรงพยาบาลที่เลือกไว้ โดยประกันสังคมให้ความคุ้มครองไม่ต่างจากการใช้สิทธิบัตรทอง แต่ประกันสังคมจะครอบคลุมในส่วนของ “เงินทดแทนการขาดรายได้ (ลาป่วย)” กรณีลาป่วยเกิน 3 วัน พร้อมใบรับรองแพทย์ด้วย
ประกันสุขภาพ
โดยทั่วไปกรมธรรม์ประกันสุขภาพจะให้ความคุ้มครองไข้เลือดออก เพราะถือว่าเป็นโรคเจ็บป่วยทั่วไป ซึ่งมีเงื่อนไขความคุ้มครองดังนี้
- ค่ารักษาแบบผู้ป่วยใน: ตามวงเงินแผนประกัน
- ค่ารักษาแบบผู้ป่วยนอก: หากซื้อความคุ้มครองผู้ป่วยนอก (OPD) ประกันก็จะคุ้มครอง
- ค่ายา เวชภัณฑ์ ค่าตรวจวินิจฉัย: ครอบคลุมหากเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาตามความเห็นแพทย์
- ค่าชดเชยรายได้ระหว่างรักษาตัว: บางแผนมีเงินชดเชย บางแผนก็ไม่มี
อย่างไรก็ตามควรเช็คกรมธรรม์ประกันสุขภาพที่ทำประกันไว้ ว่าครอบคลุมส่วนไหนบ้าง หรือสอบถามไปยังบริษัทประกันที่ทำประกันไว้ เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและชัดเจนเกี่ยวกับสิทธิ์ความคุ้มครอง เช่น ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD), ผู้ป่วยใน (IPD) เป็นต้น เพื่อให้สามารถวางแผนการใช้สิทธิ์ได้อย่างเหมาะสม และไม่พลาดสิทธิประโยชน์ที่ควรได้รับ
ประกันไข้เลือดออก
คุ้มครองไข้เลือดออก 100% เพราะเป็นประกันที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับโรคนี้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าห้อง ค่าพยาบาล ค่าหมอ หรือค่าชดเชยรายได้รายวัน ดังนั้นหากไม่แน่ใจว่าคุ้มครองอะไรบ้างและคุ้มครองเท่าไหร่ ให้ตรวจสอบกรมธรรม์ที่คุณมีอยู่ หรือสอบถามบริษัทประกันที่คุณทำไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าได้รับความคุ้มครองครบถ้วน
เพื่อความปลอดภัยด้านสุขภาพของตัวเองและคนที่คุณรัก ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในช่วงฤดูฝนไข้เลือดออกเป็นโรคร้ายที่ควรตระหนัก โดยเฉพาะเมื่อมีอาการไข้สูงต่อเนื่องโดยไม่ทราบสาเหตุ แม้จะไม่มั่นใจว่าเป็นอาการไข้เลือดออกระยะแรกหรือไม่ แนะนำให้เดินทางไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยทันที นอกจากนี้การป้องกันไม่ให้ยุงกัดและควบคุมแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคนี้ได้อย่างมาก
สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประกันภัยต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)
คำจำกัดความ
พาหะ | บุคคลหรือสัตว์ที่มีเชื้อโรคอยู่ในร่างกายโดยที่ตัวเองไม่มีอาการของโรค แต่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ |
ภาวะแทรกซ้อน | ปัญหาหรืออาการที่ไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นเพิ่มเติมจากโรค หรือภาวะที่ผู้ป่วยเป็นอยู่เดิม โดยอาจเกิดขึ้นจากการรักษา หรือเป็นผลจากการดำเนินของโรคเอง ทำให้สถานการณ์ของผู้ป่วยแย่ลง |
เวชภัณฑ์ | สิ่งของเครื่องใช้และอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ในการรักษา วินิจฉัย หรือบำบัดผู้ป่วย |