Roojai

อาชีพฟรีแลนซ์ ทำงานไม่เป็นเวลา ควรเลือกประกันแบบไหนให้ตอบโจทย์

Article Roojai Verified
ประกันภัยที่ตอบโจทย์คนทำงานฟรีแลนซ์ | รู้ใจประกันภัย

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตและโลกออนไลน์กำลังอยู่ในยุคทองหรือยุคเฟื่องฟู ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือจะอยู่บ้านก็สามารถหาเงินได้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเด็กรุ่นใหม่ถึงไม่ชอบทำงานประจำ ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานากับความไม่คุ้มค่ากับสุขภาพที่ต้องแลกมากับเงินเดือน การทำงานฟรีแลนซ์จึงตอบโจทย์พวกคนรุ่นใหม่มากกว่า แต่ความอิสระนั้นก็มีราคาที่ต้องจ่ายหนักเช่นกัน นั่นก็คือเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งไม่ใช่แค่ความมั่นคงทางการเงินอย่างเดียว ยังรวมถึงเรื่องสวัสดิการต่างๆ ที่คนทำงานฟรีแลนซ์จะไม่มีโอกาสได้รับ เช่น ประกันสุขภาพกลุ่ม ประกันสังคม โบนัส และสิทธิพิเศษต่างๆ ที่บริษัทสามารถให้พนักงานได้ แต่ถึงจะเป็นฟรีแลนซ์แต่ก็มีหลักประกันสุขภาพที่มั่นคงได้เช่นกัน ประกันภัยประเภทไหนบ้างที่คนทำงานฟรีแลนซ์ควรซื้อเก็บไว้ มาดูกัน

สนใจอ่านแค่บางเรื่อง ก็เลือกได้เลย!

งานฟรีแลนซ์ คืออะไร?

งานฟรีแลนซ์ หมายถึง งานที่สามารถทำได้อย่างอิสระ โดยคนเป็นฟรีแลนซ์จะกำหนดตารางการทำงานหรือสามารถเลือกรับงานที่ตัวเองถนัดมาทำได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นพนักงานบริษัทใดบริษัทหนึ่ง จัดเป็นอาชีพที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก เพราะสามารถกำหนดคุณภาพชีวิตในการทำงานได้อย่างอิสระ

ความเสี่ยงของงานฟรีแลนซ์มีอะไรบ้าง?

ถึงอาชีพฟรีแลนซ์จะได้รับความอิสระ แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่ไม่ใช่น้อย ยิ่งหากคนไหนไม่มีวินัยด้วยแล้ว ความเสี่ยงด้านการเงินก็จะเพิ่มสูงมากขึ้น เรามาดูกันว่าความเสี่ยงที่คนทำงานฟรีแลนซ์ต้องเจอมีอะไรบ้าง

ประกันโรคร้ายแรงที่เหมาะสำหรับคนทำงานฟรีแลนซ์ | รู้ใจประกันภัย

1. ความเสี่ยงด้านการเงิน

เพราะความแน่นอนคือความไม่แน่นอน คนทำงานฟรีแลนซ์ ต้องท่องประโยคนี้เอาไว้ และเชื่อว่าคนที่ทำงานฟรีแลนซ์ต่างเคยประสบพบเจอกันมาแล้วเรื่องการจ่ายค่าจ้างไม่ตรงตามกำหนด แม้จะมีสัญญาว่าจ้างก็ตาม หรือเคยได้งานอยู่ดี ๆ แต่ไม่ต่อสัญญาหรือไม่จ้างแล้ว นี่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยใหญ่ที่ทำให้คนทำงานฟรีแลนซ์ต้องวางแผนการเงินให้ดี เพื่อจะได้ไม่สะดุดหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด

2. ความเสี่ยงทางด้านสุขภาพ

แน่นอนว่าคนที่ทำงานฟรีแลนซ์จะไม่มีสวัสดิการอย่างพนักงานประจำที่ได้ทั้งประกันกลุ่มและประกันสังคม ดังนั้น หากตั้งใจจะเดินทางสายฟรีแลนซ์แล้ว แนะนำว่าให้เลือกซื้อประกันด้านสุขภาพติดตัวเอาไว้ด้วย หรืออย่างน้อยที่สุด ทำประกันสังคมมาตรา 40 ติดตัวไว้ก่อนก็ยังดี 

3. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

แม้ว่าคนทำงานฟรีแลนซ์บางคนจะทำงานได้เงินเยอะกว่าพนักงานประจำ แต่หากขาดวินัยในการเก็บออมแน่นอนว่าสุดท้ายอาจจะไม่เหลือเงินเลยสักบาท ดังนั้น การวางแผนและต้องมีวินัยในการเก็บเงินจึงเป็นอีกเรื่องที่ควรใส่ในเช่นกัน เช่น การสมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

4. ความเสี่ยงเรื่องเครดิต

เพราะคนที่ทำงานฟรีแลนซ์ หากต้องการอยากจะกู้เงินธนาคาร เช่น กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ อาจทำได้ยากกว่าพนักงานประจำ แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ ข้อนี้ขึ้นอยู่กับวินัยการเก็บออม และการวางแผนการเดินบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้ดี เมื่อวางแผนทำ statement ได้ดีแล้ว ก็ไม่ต้องกังวลหากต้องการจะขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินต่าง ๆ เพราะปัจจุบันสถาบันการเงินส่วนใหญ่เปิดโอกาสให้คนทำงานฟรีแลนซ์สามารถกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถได้ เป็นต้น

ทำไมอาชีพฟรีแลนซ์ควรซื้อประกัน?

กลุ่มคนที่ทำงานฟรีแลนซ์ เช่น นักเขียน นักแปล สถาปนิก นักตกแต่งภายใน ทนายความ เชฟ หรืออาชีพ อื่น ๆ ที่ไม่ได้เป็นพนักงานของบริษัทใดบริษัทหนึ่ง ทำงานที่บ้านได้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ กล่าวคือ ที่ทำงานจะอยู่ที่ไหนก็ได้ เพียงแค่มีงานส่งตามกำหนดระยะเวลาก็จบ 

การเป็นฟรีแลนซ์ไม่ได้มีสังกัด เรื่องของสวัสดิการต่าง ๆ จึงไม่มีไปด้วย เพื่อลดความเสี่ยงด้านการเงินในระยะยาว ควรทำประกันสุขภาพหรือประกันสังคมเอาไว้ หรือเลือกซื้อประกันภัยให้เหมาะกับอาชีพของคุณเอาไว้ จะได้อุ่นใจเรื่องค่ารักษาพยาบาล 

ประกันภัยแบบไหนบ้างที่คนทำงานฟรีแลนซ์ควรซื้อ?

1. ประกันสังคม

ประกันสังคมไม่ได้มีให้เฉพาะคนที่ทำงานประจำเท่านั้น แต่ยังมีประกันสังคมมาตรา 40 ที่คนทำงานฟรีแลนซ์สามารถสมัครประกันสังคมได้เช่นกัน ซึ่งในมาตรา 40 จะมีความคุ้มครองที่ครอบคลุมหลายด้าน โดยที่มีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นบุคคลที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปี และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ ความคุ้มครองหลัก ๆ จะได้ในกรณีประสบอุบัติเหตุ เจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และชราภาพ โดยจะได้เงินชดเชยรายได้เมื่อมีการเจ็บป่วยและต้องนอนที่โรงพยาบาล 300 บาท/วัน สูงสุดไม่เกิน 30 วัน และมีเงินค่าปลงศพสูงสุด 40,000 บาท ซึ่งผลประโยชน์แค่นี้อาจจะไม่ครอบคลุมการรักษาตัว

โดยการจ่ายเงินสมทบมี 3 ทางเลือก ได้แก่ จ่ายเงินสมทบ 70 บาท/เดือน, 100 บาท/เดือน และ 300 บาท/เดือน

ประกันอุบัติเหตุที่เหมาะสำหรับคนทำงานฟรีแลนซ์ | รู้ใจประกันภัย

2. ประกันสุขภาพ

เพราะประกันสังคมมาตรา 40 อาจไม่เพียงพอ การพิจารณาทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมเป็นความคิดที่ดี เพราะถือเป็นหลักประกันสุขภาพให้กับตัวเอง โดยส่วนใหญ่ประกันสุขภาพสมัยนี้ จะมีให้เลือก เช่น ค่ารักษาพยาบาลแบบเหมาจ่ายที่ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงหลายล้านบาท และสามารถเลือกแผนประกันที่มีความคุ้มครองผู้ป่วยนอก หรือ OPD เอาไว้ด้วย เช่น เป็นไข้หวัด หรืออาหารเป็นพิษ OPD จะสามารถเบิกเคลมได้โดยที่ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล เป็นต้น

Tips : เทคนิคการซื้อประกันเพื่อนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 100,000 บาท

สำหรับคนทำงานฟรีแลนซ์และแต่ละปีได้เงินค่าจ้างจากการทำงานสูงมากและต้องจ่ายภาษีหลักหมื่นเกือบทุกปี การนำเบี้ยประกันสุขภาพลดหย่อนภาษีสามารถลดหย่อนได้สูงสุด 100,000 บาท โดยเบี้ยประกันสุขภาพและเบี้ยประกันอุบัติเหตุ ลดหย่อนได้สูงสุด 25,000 บาท (เมื่อรวมกับประกันตัวอื่น ๆ เช่น ประกันชีวิต ลดหย่อนรวมทั้งหมดไม่เกิน 100,000 บาท)

3. ประกันบำนาญ

ประกันบำนาญ หรือ ประกันเกษียณอายุ เป็นประกันชีวิตรูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้คุณมีรายได้หลังเกษียณ โดยเฉพาะสำหรับฟรีแลนซ์ที่ไม่มีสวัสดิการเงินบำนาญจากองค์กร จึงเป็นทางเลือกสำคัญในการวางแผนระยะยาว โดยให้คุณจ่ายเบี้ยประกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง (เช่น ถึงอายุ 40 หรือ 60) เมื่อถึงอายุที่กำหนด (เช่น 60 ปี) บริษัทประกันจะจ่าย เงินรายปี หรือรายเดือน ให้คุณจนถึงอายุที่ระบุ (เช่น 85 หรือ 90 ปี) ช่วยให้คุณมีรายได้ประจำหลังเกษียณ แม้จะไม่ได้ทำงาน แต่หากหยุดจ่ายกลางคันอาจเสียสิทธิ์หรือขาดทุน และผลตอบแทนไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนในกองทุนรวมหรือหุ้น จึงเหมาะกับคนที่ต้องการความมั่นคงทางการเงินหลังเกษียณ

4. ประกันมะเร็ง

หากมีประกันสุขภาพแล้ว ประกันเฉพาะโรคอย่างประกันมะเร็ง เป็นประกันสุขภาพอีกหนึ่งตัวที่ไม่ควรมองข้าม โดยไม่จำเป็นต้องรีบซื้อพร้อม ๆ กัน เลือกซื้อแผนที่คิดว่าตัวเองจ่ายไหว เพราะอย่าลืมว่าสถิติคนไทยป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งยังคงครองอันดับ 1 ของประเทศไทย ฉะนั้น การไม่ประมาท และวางแผนรับมือตั้งแต่ยังแข็งแรงจึงเป็นวิธีที่ควรทำ เพราะค่ารักษาโรคมะเร็งนั้นไม่ได้จบแค่การผ่าตัด แต่ยังต้องรักษาอย่างต่อเนื่อง อาจต้องให้เคมีบำบัด ฉายรังสี หรือต้องรับประทานยาต่อเนื่อง ค่าใช้จ่ายในการรักษาจึงค่อนข้างสูง หากไม่ได้ทำประกันมะเร็งเตรียมเอาไว้ เงินที่เก็บอาจหมดไม่รู้ตัว

5. ประกันโรคร้าย

ประกันโรคร้ายแรงเราสามารถเลือกซื้อตามความเสี่ยงของการเกิดโรคได้ เช่น หากประวัติคนในครอบครัวเคยมีอาการหรือเคยเป็นโรคร้ายแรงใด ให้ประเมินความเสี่ยงของตัวเองจากประวัติคนในครอบครัว เช่น พ่อนาย A เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ นาย A มีความเสี่ยงที่จะได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ดังนั้น นาย A ควรเลือกซื้อประกันโรคร้ายแรงที่เน้นกลุ่มโรคระบบหลอดเลือดหัวใจ เป็นต้น

6. ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล

ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลเป็นประกันที่เบี้ยรายปีไม่แพง และควรซื้อเก็บเอาไว้เพราะอุบัติเหตุสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา และอาจกระทบต่อรายได้ทันทีถ้าทำงานไม่ได้ ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลเหมาะกับฟรีแลนซ์ที่อาจเจออุบัติเหตุจากการทำงาน เช่น เดินทางบ่อย ใช้รถจักรยานยนต์ ทำงานนอกสถานที่ เป็นต้น และยังเหมาะกับคนที่ไม่มีเงินสำรองมากพอสำหรับค่ารักษาพยาบาลฉุกเฉิน

สำหรับคนทำงานฟรีแลนซ์ที่อยากเก็บเงิน อาจจะเลือกทำประกันบำนาญหรือเลือกซื้อกองทุน หรือซื้อทองคำเก็บน่าจะเป็นตัวเลือกในการออมทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนดีอีกทางหนึ่ง แต่ไม่ว่าจะเป็นประกันรูปแบบใด ประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ประกันโรคร้าย ประกันมะเร็ง ตลอดไปจนถึงประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญ แต่จะทำตัวไหนก่อน-หลัง ก็ขึ้นอยู่กับการวางแผนการเงินของคุณ รวมถึงไลฟ์สไตล์ความเสี่ยงด้วย

สามารถติดตามข่าวสาร สาระความรู้ เกี่ยวกับรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ ด้านสุขภาพ รวมถึงเกร็ดความรู้เกี่ยวกับประกันภัยต่าง ๆ ได้ที่ Facebook Page: Roojai หรือเพิ่มเพื่อนทาง LINE ได้เลย (Official LINE ID: @roojai)

คำจำกัดความ

OPD OPD ย่อมาจาก Out-Patient Department หรือที่เรียกว่า “ผู้ป่วยนอก” หมายถึงการไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล โดยไม่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
ค่าปลงศพ หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพที่ผู้เสียหายที่เป็นญาติสามารถเรียกร้องจากจำเลย หรือสามารถขอสินไหมทดแทนจากประกันภัยในกรณีผู้เอาประกันเสียชีวิต เป็นต้น
previous article
< บทความก่อนหน้า

สรุปให้! 6 ข้อแตกต่างของประกันวินาศภัย vs ประกันชีวิต